วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"นำหนังสือดีสู่เด็กไทย"...โครงการดีๆเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่าน









โดยส่วนตัว ดิฉันเองได้ติดตามโครงการนำหนังสือดีสู่เด็กไทย และเทศกาลนิทานในสวน เป็นประจำทุกปี  และหากมีโอกาสก็มักจะพาลูกๆเข้าร่วมกิจกรรม เนื่องจาก เทศกาลนิทานในสวน มักจัดในฤดูหนาว อากาศไม่ร้อน  และลูกๆก็ได้รับความสนุกสนานบันเทิงกันที่สวนสาธารณะในช่วงบ่ายๆเย็นๆ พร้อมกับได้รับความรู้ ความสำราญ จากนิทานสนุกๆไปด้วย   ที่สำคัญคือ หนังสือที่โครงการ "นำหนังสือดีสู่เด็กไทย" มักเป็นหนังสือที่เหมาะกับเด็กในวัยต่างๆ เป็นหนังสือภาพที่คัดสรรมาแล้วว่าเป็นหนังสือชั้นดีระดับโลกที่แปลโดยนักแปลคุณภาพ  พิมพ์ด้วยกระดาษเนื้อดี สีสรรสวยงาม รูปวาดสวย เป็นที่สนใจของเด็กๆค่ะ   หนังสือของปีนี้มี 5 เล่มคือ



  • มือหนูอยู่ไหน    เรื่องและภาพ โดย  อาคิโกะ ฮายาชิ   แปลโดย มารินา โคบายาชิ   ซึ่งดูแลก็คงทราบว่า เป็นหนังสือจากประเทศญี่ปุ่น
  • เจ้าหญิงถุงกระดาษ  เรื่องโดย โรเบิร์ต มันชุ   ภาพโดย มิกาเอง มาร์เชนโค   แปลโดบ  อัจฉรา ประดิษฐ์
  • รอยทะเล  เรื่องและภาพ โดย  เดวิด วีสเนอร์
  • นี่คือหนังสือ   เรื่องและภาพ โดย  เลน สมิธ   แปลโดย  ดร.ชัยวัฒน์  วิบูลย์สวัสดิ์
  • ตึ๋ง ตึ๋ง ตึ๋ง ตึ๋ง   เนื่อเรื่องโดย คุณครูชีวัน วิสาสะ  เป็นหนังสือสื่อภาพนูนอักษรเบลล์ สำหรับเด็กปฐมวัย เด็กเล็ก ​(0-6 ปี) ที่บกพร่องทางกามองเห็นค่ะ
  • เทศกาลในสวนกรุงเทพ  เวลา 16:00-18:00 น.
  • เทศกาลนิทานในสวนเชียงใหม่  เวลา 15:30-17:30 น.

ดิฉันเองได้รับมาสองเล่ม สำหรับสองจ๋อ  คือเรื่อง เจ้าหญิงถุงกระดาษ  และนี่คือหนังสือ   ซึ่งได้ลองอ่านแล้ว  เชื่อว่าคงเป็นอีกสองเล่มที่สองจ๋อโปรดปราน   แต่ก่อนที่จะเล่าถึงนิทานสองเล่มนี้ ในตอนต่อๆไป  ดิฉันอยากบอกเรื่อง  โครงการ นิทานในสวน ปี 2556 ซึ่งในปีนี้ จะจัดขึ้นทั้งใน กทม.และที่เชียงใหม่ค่ะ


  • ที่กรุงเทพมหานคร   เวลา 16:00-18:00 น.

วันเสาร์ที่ 14, 21 และ 28 ธันวาคม  2556  และ 4 มกราคา 2557   ที่ สวนลุมพินี

วันเสาร์ที่ 11, 18  และ 25 มกราคม 2557  และ วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ สวนรถไฟ 

วันเสาร์ที่ 8 และ 15  กุมภาพันธ์ 2557  ที่ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์




  • ที่เชียงใหม่  เวลา 15:30-17:30 น.

วันเสาร์ที่ 21, 28 ธันวาคม 2556 และวันเสาร์ที่ 4, 11  มกราคม 2557 ณ ลานสัก (ศาลาธรรม) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ


เพื่อนๆผู้ปกครอง หากมีเวลาและมีโอกาส ควรลองพาเด็กๆไปร่วมกิจกรรมดีๆพวกนี้บ้าง และบ่อยๆค่ะ ในงานนี้จะมีกิจกรรทสนุกๆมากมาย สำหรับเด็กๆ และผู้ปกครอง เช่น การแสดงละครนิทาน  กิจกรรมการเพ้นท์หน้า  กิจกรรมงานประดิษฐ์ ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว  และคุณพ่อคุณแม่จะได้รับคำแนะนำประสบการณ์การเล่านิทานโดยผู้เชี่ยวชาญ และได้พูดคุยกับนักจิตวิทยาเด็ก เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กๆ เพื่อให้มีความสุข และมีพัฒนาการที่ดีสมวัย    ไม่แน่นะคะ  เราอาจจะได้สร้างลูกให้เป็นหนูน้อยนักอ่าน และนักเล่านิทานในอนาคตก็ได้ค่ะ















วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

คุณกำลังเป็นส่วนทำร้ายลูกหรือเปล่า โดย คุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน



คุณกำลังเป็นส่วนทำร้ายลูกหรือเปล่า


แม่ประเภทแรกทำทุกอย่างให้ลูกหมดเลย แม่ประเภทนี้กลัวว่าลูกจะลำบาก กลัวลูกอด กลัวลูกเจ็บ กลัวไปซะทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นจะไม่ยอมปล่อยให้ลูกเผชิญทุกอย่างโดยลำพัง ถ้าเป็นลูกเล็ก แม่ก็จะคอยอุ้มอยู่ตลอดเวลา จะไม่ยอมปล่อยให้มาคลุกดินคลุกทราย หรือเดินโดยลำพัง จะมีคนเดินตาม เมื่อเด็กพลาดล้ม จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะคอยห้ามโน่นห้ามนี่ กังวลว่าลูกจะไม่ปลอดภัย แต่มันมาจากความรัก เป็นแม่ที่คอยประคบประหงม ดูแลเป็นไข่ในหิน ดูแลอย่างดี ทำทุกอย่างให้หมด

แม่ประเภทที่สอง
เป็นประเภทที่ต้องการให้ลูกทดแทนบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปของพ่อแม่ตอนวัยเด็ก อะไรที่เราไม่เคยมี ก็อยากให้ลูกมี อะไรที่ไม่เคยทำ ก็อยากให้ลูกได้ทำ เมื่อวัยเด็กแม่อาจจะมีฐานะไม่ดี มีปมด้อย หรือลำบากมาก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อตนเองประสบความสำเร็จ เลยชดเชยทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูก แต่ก็มาจากความรัก

แม่ประเภทที่สาม
เป็นประเภทที่ขีดเส้นทางชีวิตให้ลูกเดิน เพราะเชื่อว่าเส้นทางที่เลือกไว้ให้ลูกเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด เช่น อยากให้ลูกเป็นหมอ ก็วางเส้นทางให้ลูกไปเป็นหมอ โดยไม่ได้ดูความถนัดหรือความชอบของลูกเลย แต่เชื่อว่าตนเองเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยจะพูดย้ำกับลูกอยู่เสมอว่า เพราะว่าแม่รักลูก ถึงเลือกเส้นทางเช่นนี้ให้ลูก โดยไม่ฟังเสียงของลูก แม่ประเภทนี้ก็รักลูกนะ

แม่ประเภทที่สี่
แม่ประเภทนี้จะไม่ค่อยทันลูก คือพร้อมจะเชื่อทุกอย่าง ลูกบอกอะไรเชื่อหมด โดยไม่ได้สนใจ หรือตรวจสอบเลย ว่าลูกทำอะไรเหมาะสมหรือเปล่า แม่ประเภทนี้มักขาดความรู้ เช่น เมื่อลูกขอเงินเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้หาความรู้ แต่ในความเป็นจริง ลูกอาจนำมาเล่นเกม คืออยากได้ เลยอ้างสารพัดเลย แต่แม่ไม่เคยรู้เลย ไม่เคยตรวจสอบ

แม่ประเภทสุดท้าย
ลูกไม่เคยผิดเลย เป็นแม่ที่ปกป้องลูกตลอดเวลา ไม่ว่าลูกจะมีปัญหากับใคร ทะเลาะกับพ่อแม่เอง ลูกฉันก็ไม่เคยผิด แม้ลูกจะทำผิดก็โทษผู้อื่นเสมอ เวลาลูกมีปัญหากับใครก็ออกโรงปกป้องเต็มที่ เพราะฉะนั้นเวลาเขาโตขึ้น ถึงต้องไปถามคนอื่นไงว่า “ไม่รู้เหรอว่าลูกใคร” จะลืมไปว่าลูกใคร เพราะว่าจะปกป้องลูกตลอดเวลา





แม่ทั้งห้าประเภทนี้ เป็นแม่ที่รักลูกเหลือเกิน แต่รักในทางที่ผิด อันนี้มันมีมาตรวัดชัดเจน ลูกที่เป็นผลผลิตจากความรักของแม่ที่เป็นแบบนี้ มักจะก่อให้เกิดความไม่ลงตัว หรือเกิดปัญหาต่างๆ ในสังคม ลองสังเกตคนใกล้ตัว มันสะท้อนได้ บางทีนิสัยต่างๆ มันเกิดมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ซึ่งพื้นฐานมันมาจากความรัก ฉะนั้นต้องตั้งคำถามว่า รักถูกทางไหม รักถูกวิธีไหม มันอาจจะเข้าข่าย 'พ่อแม่รังแกฉัน' โดยที่ไม่รู้ตัว แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันส่งผล และกลายเป็นดีเอ็นเอเลยบางอย่าง เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะยังติดนิสัยแบบนี้ แทนที่จะมาช่วยกันแก้ปัญหา กลายเป็นว่ามาสร้างปัญหาให้สังคม
.
บางคนมีลูกเพื่อให้รู้สึกว่าครอบครัวเราสมบูรณ์ มีสามีเป็นพ่อ มีเราเป็นแม่ แล้วก็ต้องมีลูก เพื่อให้ครบองค์ประกอบของครอบครัว ก็ถือว่าฉันทำหน้าที่ของฉันได้สมบูรณ์ในฐานะที่เป็นแม่ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ มันต้องมีสิ่งที่ตามมาหลังองค์ประกอบความสมบูรณ์นั้นด้วย
.
ที่จริงความสมบูรณ์ในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องมีลูก สามีภรรยาที่เขาไม่มีลูก ก็เป็นครอบครัว หรือกระทั่งสามีภรรยาหย่าร้าง เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยว เขาก็เป็นครอบครัว เขาก็มีความสมบูรณ์ได้ในความเป็นครอบครัว คือองค์ประกอบมันไม่ได้หมายความว่า จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ลูกเท่านั้น
แต่องค์ประกอบคือการสามารถสร้างสัมพันธภาพในครอบครัวจากมิติชีวิตที่ตัวเองอยู่ตรงนี้ จากทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะมีสมาชิกในครอบครัวกี่คนก็แล้วแต่ แต่สามารถสร้างครอบครัวที่มันสมบูรณ์ขึ้นมาได้ บางคนไม่ได้แต่งงาน อยู่กับพ่อแม่ ก็เป็นครอบครัว ดูแลได้อย่างดี มีความสุขได้ อาจจะดีกว่าการที่เราพยายามสร้างความสมบูรณ์ ในแบบฉบับที่เป็นต้นแบบของเรา สุดท้ายพอเรามีเขา แล้วเราดูแลเขาได้ไม่ดี หรือว่าเราไม่ได้ให้เวลาในการทุ่มเท ทั้งความรักและความรู้ไปควบคู่กัน
เพราะการจะพัฒนาเด็กคนหนึ่งขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าคลอดเสร็จแล้วจะกลายเป็นคนดีของสังคมได้ ต้องอาศัยความทุ่มเท อาศัยเอาตัวแลกเอาใจแลก ของคนที่เรียกได้ว่าเป็นแม่





อีกมุมนึงต้องให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้ด้วย คือมีความยากขึ้นหลายเท่าตัวมาก จากประสบการณ์ที่มีเพื่อนสนิทมีลูกอายุประมาณ 5-6 ขวบ กำลังจะสอบเข้าโรงเรียน ชั้นเตรียมอนุบาลหรือป.1 ของโรงเรียนชื่อดัง ทางโรงเรียนได้ส่งข้อสอบมาให้ เห็นแล้วรู้สึกตกใจ ปรากฏว่าเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษ เด็กต้องเรียงประโยคให้ถูกต้อง จัดลำดับประธาน กรรม กิริยา ได้แล้ว
.
โดยเฉพาะสังคมไทย ที่เราให้ความสำคัญกับวิชาการมาก มันถึงได้ออกมาในรูปแบบของข้อสอบอนุบาล ป.1 ป.2 บางทีเราไปดูข้อสอบของเด็ก ยังรู้สึกว่ามันยาก ถ้าเราเป็นเด็กยุคนี้ เราคงรู้สึกว่ามันยากแน่นอนเลย ฉะนั้นทางออกคุณพ่อคุณแม่ก็คือ ต้องจับลูกไปเรียนพิเศษ หรือไม่ก็ต้องรีบกลับมาจากที่ทำงานเพื่อมาติวหนังสือลูก
.
อยากให้คิดตามเรื่องของความคาดหวัง ลองนึกถึงวันแรกของการได้เป็นแม่ วินาทีแรกของการได้เป็นแม่ เชื่อไหมว่า คนเป็นแม่ทุกคน วันนั้นทั้งคนเป็นพ่อและแม่จะต้องนึกอยู่ว่า ถ้าคลอดลูกออกมาแล้ว สิ่งที่ปราถนาอยู่ตอนนั้น คืออยากให้ลูกออกมารอดปลอดภัย อวัยวะครบสมบูรณ์เป็นปกติ ณ เวลานั้น พอคลอดออกมาแล้วได้ยินเสียงลูก มันคือความสุข วินาทีนั้น เชื่อว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนอธิฐานแบบนั้นจริงๆ นั่นเป็นความคาดหวังแรก ความคาดหวังครั้งนั้น เราต้องคิดว่าเป็นครั้งที่สำคัญที่สุด
.
แต่พอเวลาผ่านไป ลูกเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ความคาดหวังของพ่อแม่มันเติบโตไปพร้อมกับลูก มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ช่วงวัยทารก คนเป็นพ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี นั่ง คืบ คลาน เดิน เล่น ก็อยากให้เร็ว มีความสุขกับการเติบโต พอลูกเข้าสู่วัยเรียน อยากให้ลูกเรียนเก่ง เข้าโรงเรียนชื่อดัง อยากให้มีความสามารถพิเศษ ส่งเสริมการเรียนกันอุตลุต เรียนดีอย่างเดียวไม่พอ มันต้องเก่ง คืออยากให้เป็นเด็กพิเศษในหมวดของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ พอเข้าสู่วัยรุ่น อยากให้ลูกเข้าสู่มหาวิทยาลัยชื่อดัง อยากให้ลูกเป็นหมอ อยากให้ประกอบอาชีพที่คิดว่าดีสำหรับพ่อแม่ ก็ทำให้ตนเองรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อไปบอกชาวบ้าน เมื่อลูกเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อยากให้ลูกทำงานที่ดี บริษัทมั่นคง มีชื่อเสียง เงินเดือนสูงๆ เป็นความคาดหวังของพ่อแม่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ พอเข้าสู่วัยที่จะสร้างครอบครัว อยากให้มีคู่ครองที่ดี มีฐานะมั่นคง มีเงินทองมั่งคั่ง อยากให้มีลูกหลานที่ดีอีก อยากให้ไปเรื่อยๆ มันเป็นวงจรของความคาดหวังของพ่อแม่ที่ไม่เคยสิ้นสุด

เวลาที่ถามพวกเขา เขามักจะตอบว่า ไม่ขออะไรมาก ก็อยากให้เป็นคนดีของสังคม มีความสุข ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่...สุดท้ายความคาดหวังทั้งหมดมันจะแปรสภาพไปตามกระแสอยู่เสมอ ความคาดหมายของการเป็นคนดีหรือมีความสุขจะขึ้นอยู่กับสายตาของพ่อแม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายตาของเด็ก
.
ทีนี้คำถามก็คือว่า ถ้าเราแปรเปลี่ยนความคาดหวังในตัวลูกให้กลายมาเป็นการเห็นคุณค่าจากความสุข มีความสุขที่ได้เล่น มีความสุขที่ได้เรียน มีความสุขในการใช้ชีวิต มีความสุขในการแบ่งปัน มีความสุขใรการเป็นผู้ให้ หรือมีความสุขในทุกๆ วัน เพราะว่าเวลามีความสุขมันจะไม่กดดันในชีวิต
.
อยากจะสะกิดใจ อยากให้กลับมาคิดว่า เมื่อไหร่ที่เราใช้ความคาดหวังสิ้นเปลืองเกินไป หรือมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้กลับไปนึกถึงวันแรกที่คลอดเขาออกมา วันนั้นเราอธิฐานแค่นี้ใช่ไหม ขอเทอด ให้ลูกออกมารอดปลอดภัย อวัยวะครบปกติใช่ไหม แต่ทำไมนานวันไปเรื่อยๆ เป็นแม่ไปเรื่อยๆ ความคาดหวังมันแปรสภาพไปเรื่อยๆ ล่ะ มันต้องมีอะไรกระตุกสักนิดว่า สุดท้ายเราเลี้ยงลูกให้เป็นตัวเขา หรือเราเลี้ยงลูกตามความคาดหวังของเรา
.
และสิ่งหนึ่งที่อันตราย บางทีสิ่งที่เราต้องการให้ลูกเป็น เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ สุดท้ายแล้วมันมาเสิร์ฟ ความต้องการของเราที่เป็นพ่อแม่รึเปล่า ความสุขแต่ไม่ใช่ความสุขของลูก แต่เป็นความสุขของเรา เช่นเรื่องอาชีพ เราจะเห็นตัวอย่างเยอะมาก ลูกอยากไปแนวนึง แต่พ่อแม่อยากมากเลย มันเป็นความฝันของเขาตั้งแต่วัยเด็ก ว่าอยากเป็นหมอ ตัวเองเป็นไม่ได้ พอมีลูกก็เอาละ ปลูกฝังทุกอย่าง ปูทาง ทุ่มเททุกอย่าง คาดหวัง อยากให้ลูกไปเป็นอย่างนั้น เรียนเสาร์อาทิตย์ไม่เคยหยุด ชีวิตปิดเทอมไม่เคยมี เพราะต้องเรียนเลข คณิต เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ตลอด ปรากฏว่าลูกไม่ชอบเลย วิชาที่ว่ามาล่อแล่ แต่ดันไปชอบวาดรูป อยากเป็นนักดนตรี ศิลปะ สุดท้ายต้องมาตั้งคำถามเหมือนกันว่า “ที่เราคิดว่ามันดีสำหรับลูก เพื่อไปตอบสนองความสุขของตัวเราหรือว่าของลูกกันแน่”

บาป 14 ประการของมารดาบิดา

พ่อแม่รังแกฉัน (บาป 14 ประการของมารดาบิดา)
พ่อแม่รังแกฉัน ว. วชิรเมธี


•พ่อแม่บางคน (1)
ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา



•พ่อแม่บางคน (2)
ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่



•พ่อแม่บางคน (3)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว



•พ่อแม่บางคน (4)
ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ



•พ่อแม่บางคน (5)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว



•พ่อแม่บางคน (6)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้าง ปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก



•พ่อแม่บางคน (7)
ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร



•พ่อแม่บางคน (
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น



•พ่อแม่บางคน (9)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร



•พ่อแม่บางคน (10)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”



•พ่อแม่บางคน (11)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี



•พ่อแม่บางคน (12)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์



•พ่อแม่บางคน (13)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต



•พ่อแม่บางคน (14)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

สร้าง Self Esteem ให้ลูกด้วยการใช้เวลาช่วงปิดเทอม

เมื่อวันก่อนฟังรายการพ่อแม่มือใหม่หัวใจเกินร้อย คุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน เธอให้คำแนะนำดีๆมากมาย เกี่ยวกับกิจกรรรมปิดเทอมค่ะ เป็นกิจกรรมที่เราสามารถใช้ช่วงเวลานี้ พัฒนาทักษะด้านต่างๆ ที่ลูกๆไม่มีโอกาสได้ฝึก หรือ ยังอ่อนด้อยอยู่ได้ โดยเราไม่จำเป็นต้องเไปเสียเงินมากมายในการพาลูกไปค่ายโน้นค่ายนี้ หรือ ให้ลูกอยู่บ้าน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือ ดูทีวีทั้งวัน โดยที่เราควรทำดังนี้

1) ตั้งเป้าหมายร่วมกับลูกว่า ปิดเทอมนี้ ลูกอยากทำอะไรบ้าง ให้ลูกมีส่วนร่วมในการวางแผน เช่นลูกๆอยากไปเที่ยวชมสถานที่โน้นนี้ เค้าก็กำหนดมาค่ะ และอยากเล่นเกมกล่องต่างๆในบ้าน

2) ลองพิจารณาดูว่า มีทักษะอะไรที่ลูกควรจะพัฒนาบ้าง เช่นของครอบครัวดิฉันเอง ดิฉันวางแผนสำหรับน้องแชง คือ การเขียนเรียงความภาษาไทย ภาษาอังกฤษ การพิมพ์ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย เพราะลูกยังทำไม่ค่อยได้ ดังนั้นเป้าหมายหลักในช่วงปิดเทอม สำหรับกิจกรรม โฮมสคูลที่บ้าน จะเน้นเรื่องการเขียนเรียงความ และการทำ Powerpoint ส่วนน้องเชียร์ ก็คงจะหัดอ่านไทย และอังกฤษให้ได้ คล่องแคล่ว นี่คือเป้าหมาย

3) ลองพิจารณาดูว่า ลูกช่วยตัวเองได้ครบถ้วนหรือยัง หากยังก็พัฒนาทักษะด้านนั้น เช่น การฝึกลูกให้ทำอาหารเอง ก็ให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกเมนูที่ง่ายๆ เมนูที่ชอบ ช่วยกันค้นหาสูตรอาหาร พาไปจ่ายตลาด และทำอาหารด้วยกัน หรือ เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงฝีมือ หรือ ลูกใคร อาจจะต้องหัด จัดห้องของตัวเอง เก็บข้าวของที่รุงรังรกเรื้อ หรือ เคลียร์ของที่ต้องไปบริจาค ก็ควรใช้โอกาสช่วงปิดเทอมในการจัดการ ลูกใครยังใส่เสื้อผ้าเองไม่เป็น ก็ควรหัดช่วงนี้

4) ลองพิจารณาว่ามีญาติพี่น้องคนใด ปู่ย่าตายาย ที่ลูกๆไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยม ก็ถือโอกาสพาไปเยี่ยม พาไปเที่ยวกัน ญาติพี่น้องจะได้ใกล้ขิดกัน

5) ลองหาวันเวลาที่เหมาะสม พาลูกไปทำงานจิตอาสา เช่น เก็บขยะ ตามสวนสาธารณะ ไปเยี่ยมเด็กกำพร้า หรือ เยี่ยมคนชรา

6) ลองหาวันเวลาที่เหมาะสม พาลูกไปโบสถ์ ไปวัด หรือสถานที่สำคัญ เพื่อฝึกนั่งสมาธิ หรือ อธิษฐานภาวนา ตามหลักศาสนา ที่ตนเองนับถือ ได้ศึกษาคำสั่งสอนของศาสนาของตนเองมากขึ้น

7) ในวันว่าง พาเด็กๆไปตามห้องสมุดต่างๆ หาหนังสือดีๆอ่านค่ะ มีมากมายหลายที่ๆน่าไป ลองหาดูนะคะ ทัวร์ห้องสมุด ก็ไม่เลว ถูกดี

ลองดูกันนะคะ อยากให้ทุกปิดเทอม เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆได้ฝึกอะไรที่โรงเรียนไม่ได้สอน ได้ใช้ชีวิตนอกห้องเรียน ฝึกทักษะให้รอบด้าน และฟื้นฟู จิตใจ สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองด้วยการเริ่มต้นทำอะไรที่มีคุณค่าต่อสังคมส่วนรวม นอกเหนือจากการทำตามใจตัวเอง และเห็นแก่ตัวเองเท่านั้น การทำกิจกรรมเหล่านี้ จะสร้าง Self Esteem การยอมรับนับถือตัวเองของเด็กๆได้ดีค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (5)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 5)

แล้วที่นั่งที่ไหนปลอดภัยที่สุด

หลายคนเชื่อว่า ส่วนใกล้หางเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดทำให้ปลอดภัยที่สุด จริงหรือไม่ ในปี 2007 นิตยสาร Popular Mechanics ตีพิมพ์บทความการวิเคราะห์การตกจองเครื่องบินและสรุปจากสถิติว่า ที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือส่วนหาง ด้วยอัตราการมีชีวิตรอดเมื่อเกิดอุบัติเหตุอยู่ที่ 69% ในขณะที่ส่วนหน้าคือชั้น Business กับ First class จะมีอัตราการรอดเพียง 49% แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนไม่เห็นด้วยด้วยเหตุผลที่ว่า เราไม่รู้หรอดว่าอุบัติเหตมันจะเกิดขึ้นจากส่วนไหน ซึ่งมันอาจจะเกิดได้จากส่วนไหนก็ได้ อย่างในกรณีของ Asiana Airline ส่วนที่เจอและไปก่อนเพื่อนเลยคือส่วนบริเวณหางนั้นเองที่กระแทกกับพื้นและหลุดออกไป บางครั้งอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นจากบริเวณปีก คือ กลางลำตัว ดังนั้น มันจึงไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับส่วนที่เกิดปัญหา แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า เครื่องบินที่ลำใหญ่กว่าจะสามารถรับแรงกระแทกได้ดีกว่าเครื่องที่เล็กกว่า

อย่างไรก็ตาม จากคำถามที่ว่านั่งที่ไหนดีที่สุด คำตอบที่สมเหตุสมผลอาจจะจะเป็น กฏห้าแถว ซึ่งบอกไว้ว่า ผู้ที่มีชืวิตรอดส่วนใหญ่มักจะเดินเป็นระยะทางห้าแถวที่นั่งก่อนถึงทางออก ดังนั้น พยายามเลือกที่นั่งที่ห่างจากทางออกไม่เกินกว่าห้าแถว แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ประตูทางออกที่เราเล็งเอาไว้อาจจะติดขัด เสีย หรือติดไฟอยู่ทำให้ไม่สามารถใช้เป็นทางออกได้ นอกจากนั้น ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ริมทางเดินมีโอกาสรอดมากกว่าผู้โดยสารที่นั่งติดหน้าต่าง โดยที่โอกาสรอดอยู่ที่ 64% ต่อ 58% ทางออกด้านหน้าและท้ายเครื่องมักจะใหญ่และเดินได้สะดวกกว่าทางออกที่อยู่ตรงกลางและบริเวณปีก

อันตรายที่สำคัญที่ทำให้มีคนตายจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินคือ ไฟ หลายๆคนไม่ตระหนักถึงอันตรายของไฟ ไม่รู้ว่าไฟสามารถลามได้ทั่วบริเวณได้เร็วแค่ไหน จริงๆแล้วเร็วมาก เร็วกว่าที่คุณจะคิดเสียอีก ทุกๆวินาทีที่เสียไปกับการตัดสินใจว่าจะทำอะไรดีทำให้โอกาสของการรอดชีวิตลดลงไปเรื่อยๆจากไฟที่ลุกลามอย่างรวดเร็วและเกิดความร้อนและควันไฟที่เป็นพิษ การตกของเครื่องบินมักจะไม่เป็นสาเหตุของการตายมากเท่ากับไฟ

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (6)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 6 บทสรุป)

ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณจะต้องนั่งเครื่องบิน อย่าไปกังวลมากจนเกินไป เพราะตามสถิติโอกาสที่คุณจะตายเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบินจะน้อยมาก แต่เพื่อความไม่ประมาท

- เลือกที่นั่งริมทางเดินที่อยู่ห่างจากทางออกไม่ไกลเกินกว่า 5 แถวที่นั่ง
- เตรียมเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมก่อนการขึ้นเครื่องและพร้อมจะหนีออกจากเครื่องเมื่อเกิดปัญหา
- จดจำจำนวนแถวที่นั่งก่อนไปถึงทางออกโดยหาทางออกอย่างน้อย 2 ประตู
- มีสติในช่วง 11 นาทีอันตรายพร้อมจะหาทางหนีออกจากเครื่องเมื่อเกิดเหตุทันที เพราะคุณมีเวลาแค่ 90 วินาที

แค่นี้เราก็มั่นใจว่าเราเป็นหนึ่งในผู้มีโอกาสรอดจากเครื่องบินตกสูงถ้ามันต้องเกิด เมื่อกี้นี้เข้าไปดูใน web site ของ Asiabook เห็นว่ามีหนังสือเล่มนี้ขายด้วย ราคา 490 บาท ผมว่าคุ้มนะ อ่านสนุกและได้ความรู้มาก ยังมีอีกหลายบทนอกจากบทนี้ อ่านไว้ประดับความรู้ จะดีมากเพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ หรือใครจะซื้อเป็น eBook ใน kindle ก็ได้จะถูกว่าด้วยราคาประมาณ $10 อ่านก็สะดวกไม่ต้องแบก

สุดท้ายขอให้สนุกสนานกับการเดินทางในทุกรูปแบบโดยเฉพาะเครื่องบิน และขอให้โชคดีครับ คราวหน้าจะเอาหนังสือที่อ่านแล้วคิดว่ามีประโยชน์มาย่อให้อ่านอีก

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (4)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 4)

เราควรจะเตรียมตัวอย่างไรเมื่อรู้ตัวว่าเครื่องกำลังจะตกหรือชนอะไรบางอย่าง

อีกอย่างนึงที่คุณจะต้องทำความเข้าใจคือ ตัวคุณจะเจออะไรบ้างในขณะที่เครื่องกำลังตกหรือกำลังชน แม้ว่าคุณจะรัดเข็มขัดนิรภัยเป็นอย่างดีตามระเบียบ ร่างกายของคุณก็จะต้องไปชนอะไรบางอย่างอยู่ดี มันป็นการออกแบบโดยตั้งใจ อันที่จริงแล้ว ที่นั่งแถวหน้าคุณถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน มันถูกออกแบบมาให้รับแรงกระแทกของตัวคุณและหยุดตัวคุณไว้ไม่ให้กระเด๊นไปที่อื่นหรือได้รับบาดเจ็บจากเข็มขัดนิรภัย ด้วยเหตุนี้ ที่นั่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงคือ บริเวณแถวหน้าที่ไม่มีที่นั่งแถวที่มีเพียงกำแพงหรือฉากกั้นข้างหน้า กำแพงนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เช่นเดียวกับที่ที่นั่งข้างหน้าคุณช่วยชีวิตคุณไว้ได้เมื่อเกิดการกระแทกอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ ก่อนที่เครื่องจะชนกับอะไรบางอย่าง เราควรจะเตรียมพร้อมโดยอยู่ในท่าก้มหัวแล้วกอดเข่า หรือเอาหมอนปิดหน้าผากและแนบให้ชิดอุปสรรคข้างหน้าที่หัวจะไปกระแทก

ท่านี้จะช่วยลดความเร็วของหัวที่จะไปกระแทกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและอย่าลืมรัดเข็มขัดให้แน่น อย่าปล่อยให้มันหลวมเกินไปแต่ก็อย่ารัดจนเกินไป

และอย่าลืม ถ้าหน้ากากปรับความดันหล่นลงมา อย่าพยายามยัดมันกลับเข้าไป เครื่องบินมันกำลังบอกคุณว่า คุณต้องใส่มันเดี๋ยวนี้เพราะคุณต้องการอากาศด่วน และถ้าคุณมีเจ้าตัวเล็กนั่งอยู่ข้างๆ อย่าทำหวังดีใส่ให้เค้าก่อน เพราะคุณต้องช่วยเหลือตัวเองให้มีอากาศให้ได้เร็วที่สุด ไม่งั้นคุณอาจจะหมดสติหลังจากที่มัวแต่ใส่หน้ากากให้กับเจ้าตัวเล็กก่อนที่ใส่ให้ตัวคุณเอง
สิ่งที่ควรตระหนักอีกอย่างหนึ่งคือ จงลืมสัมภาระติดตัวทุกชนิดได้เลย ทิ้งมันไว้บนเครื่องหนะแหละไม่ว่าของชิ้นนั้นจะแพงแค่ไหนก็ตาม แต่ชีวิตของคุณแพงกว่า เชื่อเหอะ หลายคนต้องตายเพรามัวแต่พยายามหนีพร้อมกับโน๊ตบุ๊กหรือแม้กระทั่ง iPad สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ช่วยคุณในการหนีแต่จะช่วยหน่วงเวลาในการหนีของคุณและอาจจะทำให้คุณติดอยู่ในเครื่องโดยไม่มีโอกาสได้ออกมาเลย อย่าลืม คุณมีเวลาแค่ 90 วินาทีเท่านั้น

อ้อ เกร็ดเล็กๆน้อยๆแต่ก็สำคัญมากก็คือ การแต่งกายขึ้นเครื่องควรจะต้องมีความเหมาะสมต่อการหนีเมื่อเกิดอุบัติเหตุ คุณต้องการรองเท้าที่รัดกุมที่วิ่งได้โดยไม่หลุด อย่าลืมว่าพื้นจะร้อนมากหรืออาจจะมีเศษแก้วอยู่กระจัดกระจายเต็มพื้น เราคงไม่ต้องการวิ่งเท้าเปล่าแน่ แม้กระทั่งการใส่รองเท้าแตะหรือส้นสูงก็อาจจะไม่ใช้ความคิดที่นักนะครับ ระวังถุงน่องที่อาจจะละลายติดเนื้อได้ถ้าเกิดไฟไหม้และมีอุณหภูมิสูลขึ้นในห้องผู้โดยสาร สุดท้าย กางเกงขาสั้นอาจจะไม่สามารถกันความร้อนจากไฟที่กำลังไหม้ได้ จึงควรใส่กางเกงขายาวจะดีกว่า




ชายผู้ไม่พ่ายแพ้ต่อกรรมเก่า (1)



อยากเล่าเรื่องราวของชายสองคน ที่เกิดมาประสบเคราะห์กรรมยิ่งใหญ่ ที่หากเป็นพุทธ ต้องโทษ "กรรมเก่า " ชายคนนึงเกิดมา พร้อมกับความพิการมาแต่กำเนิด ไร้แขน ไร้ขา ทั้งตัว มีแค่ศีรษะ และลำตัว และ เท้าเล็กๆ เหมือนน่องไก่ข้างหนึ่ง ส่วนชายอีกคน ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงในวัย สองขวบเศษ โดนไฟคลอก ไหม้หมดทั้งตัว จนพิการ และเสียโฉม หน้าเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ชายสองคนนี้ ก็สามารถฝ่าชะตากรรม ต่อสู้ชีวิต จนเอาชนะ ความพิการ ความพิการไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตของเขา แต่กลับสร้างพลังให้เขา ออกมาสู้ชีวิตได้อย่างยิ่งใหญ่ เหนือความมหัศจรรย์ และเป็นพลังที่ส่งต่อถ่ายทอดสู่ผู้คนนับแสน นับล้าน ผ่านการพูด ของเขา

จะเล่าเรื่องของ Nick Vogisic ที่ไปคุยที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เมื่อคืนนี้ งานนี้ เป็นงานแบบคริสเตียน ซึ่งหลายๆคนคงไม่ค่อยเห็น เพราะปกติ เวลา Nick พูดในเวทีต่างๆ จะพูดแบบตลกๆ แต่งานนี้ เค้าพูดแบบคริสเตียนแท้ๆ ทำให้รู้ว่า เค้ามีชีวิตผ่านมาถึงวันนี้ ด้วยสองสิ่ง คือ "ศรัทธา" และ "มีความหวัง" หลายๆเรื่องที่อยากจะเล่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ กับคนที่กำลัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ ไม่สบายใจ ไม่ว่าเรื่องใดๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ อารมณ์ เหล่านี้ ไม่ได้ช่วยให้เหตุการณ์ สถานการณ์ใดๆ ดีขึ้น นอกจากทำให้ทุกสิ่งแย่ลง และทำให้ชีวิตของคุณ ยิ่งตกต่ำ และอาจจะไม่ฟื้น

Nick Vogisic เล่าว่า เค้าเป็นเด็กที่เกิดมา ไม่มีแขน ไม่มีขา มาแต่กำเนิด ในขณะที่พี่น้องของเค้าปกติดี เค้าเคยท้อแท้ อับอาย เค้าพยายามหาคำตอบว่า ทำไม เค้าต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ พระเจ้ารักเค้า แต่ทำไม ต้องสร้างเค้ามาแบบนี้ ไ้ด้รับความทุกข์แสนสาหัส เค้ามองไม่เห็นอนาคตตัวเอง ว่าเค้าจะเติบโตเป็นอะไรได้ คนที่มีแต่หัวกับตัว จะหาเลี้ยงครอบครัว มีครอบครัวได้อย่างไร และแก่ไปจะทำอย่างไร ทุกสิ่งดูมืดมน จนเค้าแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่

พ่อแม่ของเค้าเฝ้าแต่ให้กำลังใจ ให้ความรัก ประคับประคองเค้าด้วยความเชื่อมั่น ว่า พระเจ้า ย่อมเตรียมสิ่งที่ดีงาม ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับเค้า การที่ลูกเกิดมาพิการแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในวัย 15 เค้าอ่านพระคัมภีร์ ตอนหนึ่ง ที่ทำให้เค้าสัมผัสได้ว่า เค้าเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เค้าเกิดมาแตกต่างจากคนอื่นมากมาย มีชีวิตที่แสนสาหัส พระเจ้าคงมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้เค้าทำ ความคิดเหล่านี้พลิกชีวิตเค้า ทำให้เค้ามุ่งมั่นที่จะฝึกฝนอะไรหลายๆอย่าง ที่ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะทำได้

การที่คนไม่มีแขน ไม่มีขา จะฝึกฝนทักษะต่างๆ ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีพลังได้เหมือนกับคนปกติ ย่อมลำบากยากเย็นกว่าหลายเท่า เมื่อล้มลง ก็ไม่มีมือ ไม่มีเท้าจะยันกายขึ้น เค้าต้องค้นหาขั้นตอนที่จะทรงตัวขึ้นมาไห้ ด้วยการใช้หัวตัวเอง ค้ำยันตัวขึ้นมา ล้มแล้วลุก เป็นร้อย เป็นพันครั้ง ล้มเหลว แต่ไม่ยอมล้มเลิก จนเค้า สามารถใช้ชีวิตที่เป็นปกติ สามารถเดินทางไปทั่วโลก เพื่อพูดให้กำลังใจคนที่มีความทุกข์ยากลำบากมากมาย จนวันนี้ นับหลายแสนคนแล้ว ที่ได้ฟังการพูดของเค้า และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย ให้มีความเชื่อมั่น มีความศรัทธา และมีความหวัง อย่าให้ข้อด้อย ข้อจำกัด เป็นอุปสรรตในการดำเนินชีวิต สู่เป้าหมายที่วางไว้

ที่สำคัญที่สุด คือ ความรัก ความปรารถนาดีที่มีต่อผู้คน รักและให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่า คนๆนั้นจะทำผิดบาปมากมายเพียงใด ทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม ตามที่เค้าเชื่อว่า นี่คือ พระพร คือภารกิจที่เค้าได้รับมอบหมายมา เพื่อให้เค้าเกิดมาเป็นแบบนี้ และสามารถสร้างปาฎิหารย์ให้คนมากมาย เห็นว่า เมื่อเค้าทำได้ คนอื่นก็ทำได้เช่นกัน




ในวันที่เค้ามาพูดที่หอธรรม โรงเรียน กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย หลายคืนก่อน เค้าคุยเรื่องที่เค้า คิดค้นหาคำตอบ ว่า ทำไมตัวเองถึงเกิดมาไม่มีแขนขา เหมือนคนอื่นเค้า ทำไมพี่น้องพ่อแม่ก็ปกติ คนอื่นปกติ แต่ทำไมเค้าต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ แม้แต่หมอก็ไม่มีคำตอบ มันเป็น "โชคชะตา"

เค้าบอกว่า "ในบางศาสนา ก็โทษเป็นเรื่อง "กรรมเก่า" กรรมเก่าในอดีตชาติ ทำไม่ดีมาก่อน เค้าก็เลยต้องมารับกรรมในชาตินี้ เกิดมาพร้อมกับความพิการ เค้าบอกว่า ฟังแล้ว หดหู่ หมดหวัง ไร้อนาคตมาก... เค้าคิดว่า คงต้องทนทุกข์ทรมารไปจนตาย ไร้ที่พึ่ง ไร้ครอบครัว รับกรรมไป...ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นคำตอบของชีวิต

ชีวิตของคนที่อยู่อย่างทุกข์ทรมาร เผชิญกรรมหลายอย่าง หากคิดว่าเรากำลังรับกรรม เราต้องก้มหน้ารับกรรม คงไม่มีความหวังที่จะต่อสู้ แต่เค้าเลือกที่จะเชื่อว่า เค้าไม่ได้เกิดมารับกรรม แต่เกิดมาเพื่อสร้างปาฎิหารย์ มีภาระกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ ที่รอเค้าอยู่ เค้าจึงเลือกที่จะวางความกลัว และอุปสรรคความยากลำบากทุกอย่าง เพื่อฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่ง เป็นพลังให้ตัวเอง และยังเป็นพลังให้ผู้อื่น

คำว่า "รับกรรม" "ต้องชดใช้กรรมเก่า" บางที มันก็ไม่เวิร์คนะคะ ใครที่กำลังเผชิญ "กรรม" ตอนนี้ ขอให้เชื่อมั่นในปาฎิหารย์ และพลังอันยิ่งใหญ่ที่หลบซ่อนในตัวเรา ดึงมันมาเป็นแรง ให้นำพาเราทะลุกรอบของกรรม ออกไปให้ได้ค่ะ ให้กำลังใจ


เพื่อนสามารถดูการใช้ชีวิต ที่แสนจะเป็นปกติของ Nick ในเพจนี้ค่ะ เค้าตีกอล์ฟได้ ว่ายน้ำได้ และช่วยตัวเองได้ทุกอย่าง  เช่น แปรงฟัน หวีผม ค่ะ

http://acidcow.com/pics/2895-the_story_of_a_strong_man_nick_vujicic_9_pics.html

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

>>> ความฉลาดของลูกมาจากฝีมือพ่อแม่ล้วนๆ <<<


ขอบคุณคุณ Beam MN Fakfa เพื่อนใน FB สำหรับข้อมูลดีๆ




นักวิจัยชาวต่างประเทศ ได้ทำการศึกษาวิธีการปฏิบัติของพ่อแม่ที่จะมีลูกฉลาด หลายพันคนเพื่อจะดูว่าลักษณะของพ่อแม่แบบไหนที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาดได้ สรุปได้ลักษณะออกมาดังนี้

1. ตอบคำถามลูกด้วยความอดทน และจริงใจ
2. เอาใจใส่คำถามของลูก
3. มีกระดานสำหรับแสดงผลงานของลูก
4. ยอมรับความรกรุงรังของบริเวณที่ลูกกำลังทำงานสร้างสรรค์
5. จัดห้องส่วนตัวให้ลูก

6. แสดงความรักลูกในฐานะลูกมิใช่จากผลงานของลูก
7. ให้ลูกมีความรับผิดชอบตามวัย
8. ช่วยลูกให้รู้จักวางแผน และตัดสินใจเอง
9. พาลูกไปชมสถานที่สำคัญต่างๆ
10. สอนลูกให้รู้จักทำหน้าที่ให้ดีขึ้น

11. ให้ลูกคบกับเด็กทุกชนชั้น
12. กำหนดมาตรฐานพฤติกรรมของลูกอย่างมีเหตุผล
13. ไม่เปรียบเทียบลูกกับลูกคนอื่น
14. ไม่ลงโทษลูกด้วยการวางเฉยเมย
15. มีของเล่น และหนังสือให้ลูก

16. ส่งเสริมให้ลูกคิดด้วยตัวเอง
17. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
18. ฝึกนิสัยรักการอ่านให้ลูก
19. ส่งเสริมให้ลูกสร้างเรื่อง และคิดฝัน ตามแบบของเขา
20. พิจารณาความต้องการของลูกอย่างรอบคอบ

21. มีเวลาให้กับลูก
22. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการวางแผนไปเที่ยวด้วย
23. ไม่เยาะเย้ยลูกเมื่อทำผิด
24. ส่งเสริมให้ลูกจดจำเรื่องราวคำประพันธ์ และเพลงต่าง ๆ
25. ให้ลูกได้เข้าสังคมกับคนทุกวัย

26. สอนให้ลูกทดลองปฏิบัติด้วยตัวเอง เพื่อช่วยลูกให้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ
27. ให้ลูกเล่นวัสดุเหลือใช้ที่เขาสนใจ
28. ให้ลูกได้พบปัญหา และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
29. ชมลูกเมื่อทำกิจกรรมที่ดี
30. ไม่ชมลูกอย่างพร่ำเพรื่อ ทั้งๆ ที่ใจจริงไม่อยากชม

31. มีความจริงใจทางด้านอารมรมณ์กับลูก
32. คุยกับลูกได้ทุกเรื่อง
33. ให้โอกาสลูกได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
34. ส่งเสริมลูกให้เป็นตัวของตัวเอง
35. ช่วยลูกหารายการโทรทัศน์ที่มีประโยชน์

36. ส่งเสริมให้ลูกคิดในแง่ดีเกี่ยวกับความสามารถของตัวเอง
37. ไม่บอกปัดความล้มเหลวของลูกโดยพูดว่า "พ่อแม่เองก็ทำไม่ได้"
38. ไม่ให้ลูกพึ่งผู้ใหญ่เท่าที่จะทำได้
39. เชื่อว่าลูกมีความรู้สึกดี และไว้วางใจ
40. ยอมให้ลูกทำผิดพลาด ดีกว่าพ่อแม่เข้าไปช่วยทำแทน

จากวิธีปฏิบัติ 40 ข้อนี้ สรุปว่าพ่อแม่พร้อมที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาดนั้น จะมีข้อปฏิบัติอยู่ในระหว่าง 25-35 ข้อ

ฉะนั้นเราลองมาตรวจสอบตัวเราเองจากข้อปฏิบัติเหล่านี้ดูว่า เราได้ปฏิบัติกับลูกของเราเป็นประจำได้กี่ข้อ และข้อใดบ้างที่ยังปฏิบัติน้อยหรือยังไม่ได้ปฏิบัติ

เราจะได้ฝึกหัดหัวข้อเหล่านั้นให้มากขึ้น เพื่อช่วยส่งเสริมลูกให้ฉลาดได้ตามที่เรามุ่งหวังไว้ค่ะ

ข้อมูลจาก SuperSun Special Edu

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (3)



Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 2)

หน้าที่ของพนง.ต้อนรับคือทำให้คุณประทับใจกับการบริการของสายการบิน ?

ทุกครั้งที่เราเดินเข้าไปในเครื่องบิน พนง.ต้อนรับจะยืนยิ้ม ยกมือไหว้และถามว่าคุณอยู่ที่นั่งเบอร์อะไรเพื่อชี้ทางให้คุณ ดูดีนะแต่ที่จริงแล้วนอกจากความพยายามที่จะต้อนรับคุณให้เกิดความประทับใจ งานที่ซ่อนไว้เบื้องหลังของพนง.เหล่านี้คือการดูว่าผู้โดยสารแต่ละคนมีลักษณะ ท่าทีอย่างไร คุณมีความพร้อมที่จะขึ้นเครื่องหรือไม่ คุณดูท่าทางเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่ หรือคุณดูเป็นนักกีฬาที่พอจะพึ่งพาได้ยามเกิดเหตุสุดวิสัยหรือไม่ พวกแอร์ทั้งหลายจะคอยดูลักษณะท่าทางของผู้โดยสารแต่ละคน ว่าใครจะเป็นผู้ที่ก่อปัญหาหรือใครจะเป็นผู้ที่พึ่งได้ยามคับขัน เพราะฉะนั้น งานหลักของพวกเธอเหล่านั้นไม่ใช่งานที่คอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม งานที่แท้จริงของพวกเธอก็คือการดูแลเรื่องความปลอดภัยของพวกเรานั่นเอง!

ปัญหาใหญ่สุดของความปลอดภัยในเครื่องบินคือผู้โดยสารที่ไม่เข้าใจถึงขั้นตอนการอพยพออกจากเครื่องในยามคับขัน หลายคนคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดเป็นชั่วโมงโดยไม่ต้องใส่หน้ากากหายใจเมื่อเครื่องมีปัญหาเรื่องอากาศและความดันภายในเครื่อง อันที่จริงแล้วเรามีเวลาแค่เสี้ยววินาที บางคนคิดว่า มีเวลาเกือบชั่วโมงในการหนีออกจากเครื่องที่เกิดอุบัติเหตุ อันที่จริงแล้ว เรามีเวลาแค่ 90 วินาทีเท่านั้น




90 วินาทีแห่งการเอาชีวิตรอด

สิ่งแรกที่เราจะสังเกตุได้คือมันง่ายมากที่เราจะหลงอยู่ภายในเครื่องเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เราจะไม่สามาถมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือจำได้ว่าเราเคยอยู่บริเวณไหนในตัวเครื่อง ควันไฟจะลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณจนเรามองไม่เห็นอะไรอยู่ตรงหน้า กฏแห่งการเอาชีวิตรอดในเครื่องบินที่ตกเริ่มจากความจริงที่ว่า เรามีเวลาเพียง 90 วินาทีในการออกจากเครื่องบินให้ได้ นานไปกว่านั้น ไฟอาจจะลามทั้งตัวเครื่องและอุณหภูมิจะสูงมากถึง 2000 องศา

หลักการอีกอันหนึ่งที่ควรจะต้องรู้คือ “ช่วงเวลาบวกสามลบแปด”

บวกสาม หมายถึง สามนาทีแรกเมื่อเครื่องเริ่มทะยานขึ้น และ ลบแปด หมายถึง แปดนาที ก่อนเครื่องจะลงจอดสนิท ในทางการบินถือว่าช่วง “บวกสามลบแปด” สิบเอ็ดนาทีนี้คือเป็นช่วงที่สำคัญและอันตรายที่สุดและ 80% ของการเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินมักจะเกิดในช่วงเวลาดังกล่าว นี่คือสาเหตุที่พนง.ต้องเข้มงวดให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัด (กันไม่ให้ผู้โดยสารกระเด็นจากที่นั่ง) เก็บโต๊ะหน้าที่นั่ง (หน้าจะได้ไม่กระแทกกับถาดที่เปิดอยู่ข้างหน้า) ไม่วางของบนพื้นกีดขวางทาง (เคลียร์ทุกอย่างเพื่อให้ทางโล่งจะได้เตรียมอพยพได้ง่าย) และปิดอุปกรณ์สื่อสาร (เพื่อให้กัปตันสามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ภาคสนามได้โดยไม่มีคลื่นรบกวน) นี่คือสาเหตุที่ว่า เราไม่ควรเมาก่อนขึ้นเครื่องหรือก่อนเครื่องร่อนลงแตะพื้น ไม่ควรหลับหรือใส่หูฟังโดยไม่สนใจอะไรเลยในขณะที่เครื่องกำลังขึ้นหรือลง ในช่วง 11 นาทีที่ว่า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องเตรียมพร้อมทุกวินาทีที่จะวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดโดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย

เมื่อเราก้าวขึ้นเครื่อง เราควรจะมีสติในการวางแผนในใจเพื่อเตรียมพร้อมในทุกสถานการณ์ อย่างแรกคือ จำว่าประตูทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงไหนแล้วนับว่ามันอยู่ห่างจากเก้าอี้ตัวที่เรานั่งกี่ตัว เพราะอย่างที่บอก เราจะมองไม่เห็นข้างหน้าเมื่อเกิดเหตุ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะไปถึงประตูทางออกที่ใกล้ที่สุดคือการใช้มือคลำและนับเก้าอี้ไปหาทางออก แต่การดูทางออกทางดียวอาจจะไม่พอ เราควรจะมองหาประตูที่สองไว้ด้วยเผื่อประตูแรกมีอุปสรรคทำให้เราไม่สามารถไปถึงได้

ถ้าคุณเดินทางไปกับญาติที่มีความสำคัญกับคุณ อย่าลืมพวกเขาด้วยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นแฟน ลูก พ่อแม่ ถ้าบินกับลูก ถือโอกาสอนพวกเด็กๆให้เข้าใจถึงแผนอพยพถ้าเกิดเหตุ ในบางครั้ง เราอาจจะไม่สามารถหาพวกเขาเจอตอนเครื่องเกิดอุบัติเหตุก็ได้

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (2)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 1)

เป็นชื่อการเอาชึวิตรอดในยามคับขันบทที่ 3 ว่าด้วยการเอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินที่นั่งอยู่เกิดอุบัติเหตุในหนังสือ The Survivals Club

ความเข้าใจผิดข้อที่ 1 – เมื่อเครื่องบินตก อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด

จริงหรือไม่ว่าเมื่อเครื่องบินตก ทุกคนในเครื่องจะต้องตาย หลายคนคิดอย่างนั้น เรามาดูจากสถิติกันว่าจริงหรือไม่

จากสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าโอกาสที่คนเราจะตามจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินอยู่ 1 ใน 60 ล้าน หรืออีกนัยหนึ่งคุณจะต้องบินทุกๆวันไปอีก 164,000 ปีกว่าคุณจะถูกฆ่าตายโดยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน และเชื่อหรือไม่ว่าโอกาสรอดของคนที่ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 95.7% และแม้ในกรณีของอุบัติเหตุที่ร้ายแรงมากๆหลายครั้ง อัตราการมีชีวิตรอดจะอยู่ที่ 76.6%

สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดเมื่อคนที่อยู่ในอุบัติเหตุทางเครื่องบินเชื่อว่าจะไม่มีสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็คือความสิ้นหวังเมื่อคนในเครื่องเชื่อว่าเราจะไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก่อนที่เครื่องจะขึ้นบิน ผู้โดยสารหลายๆคนดื่มจนเมา เมื่อขึ้นเครื่องก็จัดแจงถอดรองเท้า อ่านหนังสือ หรือเปิดเครื่อง iPad บางคนจัดการห่มผ้าเตรียมตัวหลับตานอนโดยไม่สนใจที่จะดูและสังเกตุตัวเครื่อง ไม่สนใจฟังพนง.ต้อนรับบรรยายหรือวีดีโอแนะนำ (ก็เหมือนกันทุกครั้งแหละจะฟังไปทำไม) ไม่อ่านเอกสารแนะนำที่เสียบไว้ตรงกระเป๋าหน้าที่นั่ง

จากสถิติอีกเช่นเคย ผู้โดยสารที่ตายในอุบัติเหตุทางเครื่องบินกว่า 40% ไม่ควรจะต้องตายถ้ารู้วิธีปฏิบัติที่ถูกวิธี และความเป็นจริงก็คือ เครื่องบินในปัจจุบัน (คงไม่ได้หมายถึงเครื่องบินจีนกับเครื่องรัสเซีย) ถูกสร้างมาอย่างดีและมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงมาก
ความเข้าใจผิดข้อที่ 2 – การตื่นตระหนกมักจะเกิดขึ้นในเครื่องเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินและเป็นสิ่งที่เลวร้ายในสถานการณ์เช่นนั้น

แน่นอน ความตื่นตระหนกลดทอนโอกาสของการมีชีวิตรอด คนเราเชื่อว่าหากเครื่องบินตก จะเกิดความโกลาหลและก่อให้เกิดความหายนะมากกว่าที่มันควรจะเป็น แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว แทบจะไม่เกิดความโกลาหลภายในเครื่องขึ้นเลยเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ผู้คนจะไม่ตื่นตระหนกและวิ่งพล่าน ในทางตรงกันข้าม แทบทุกคนจะอยู่นิ่งและรอฟังคำสั่งจากใครสักคน ในเครื่องที่ไฟกำลังไหม้ การวิ่งไปยังประตูทางออกเพื่อเอาชีวิตรอดกลับเป็นสิ่งที่ดีกว่าการอยู่นิ่งๆโดยไม่ทำอะไรเลยเพราะเรามีเวลาน้อยมากในการเอาตัวเองออกจากเครื่องที่กำลังไฟไหม้อยู่และเต็มไปด้วยควันไฟ

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (1)

ตอนนี้ข่าวดังเรื่องหนึ่งจากต่างประเทศคงไม่พ้นเรื่องของเครื่องบิน Asiana ตกที่ San Fran เลยทำให้ฉุกคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่พี่ที่นับถือคนหนึ่งเคยแนะนำให้อ่านเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราก็คุยเรื่องสับเพเหระไปเรื่อยๆถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและการเอาตัวรอดยามคับขัน พี่แกบอกว่า รู้ไม๊ว่า พนง.ต้อนรับบนเครื่องทำไมถึงต้องมายืนต้อนรับลูกเรือทุกคนตอนขึ้นเครื่อง นอกจากจะคอยอำนวยความสะดวก ยิ้มและไหว้ต้อนรับลูกค้า รู้ไหมว่างานที่แท้จริงของพวกเขาเมื่อผู้โดยสารทยอยเข้ามาในเครื่อง คือ คอยสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสารว่า มีคนไหนมีพฤติกรรมน่าสงสัยบ้าง จะได้คอยระวัง หรือจัดการกับผู้ต้องสงสัยก่อนที่จะสายเกินไปหรือผู้โดยสารคนไหนจะเป็นที่พึ่งได้บ้างเมื่อเกิดเหตุคับขัน ฟังแล้วอึ้งไปเหมือนกัน ที่คิดว่าแต่ละสายการบินคอยจัดให้มี พนง.คอยยิ้มเพื่อเรียกเรตติ้งให้สายการบิน จริงๆแล้ว ภารกิจที่สำคัญกว่านั้นคือการรักษาความปลอดภัยก่อนเครื่องออกบิน

ที่เขาเล่ามาทั้งหมดเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหลังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดยามคับขัน เลยคิดว่า หนังสือเล่มนี้ต้องน่าสนใจมาก คืนนั้นอยากอ่านมาก ไม่อยากรอไปดูที่ Asiabook ตอนเช้าเลยรีบจัดการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้จาก Kindle ซึ่งเป็นหนังสือ eBook เล่มแรกที่ลงทุนซื้อจาก Kindle จากอีกหลายๆเล่มเลยทีเดียว

หนังสือเล่มนี้มีหน้าปกดังรูป ซึ่งปรากฏว่าเป็น New York Time Best Seller ด้วย เดี๋ยวจะมาสาธยายและเล่าถึงบทที่เกี่ยวข้องกับการเอาชีวิตรอดถ้าอยู่ในเครื่องบินที่กำลังจะตก ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่เดี๋ยวนี้ “ใครๆก็บินได้” รู้ไว้ประดับความรู้น่าจะดี และมีหลายเรื่องน่าสนใจมาก ใครอยากจะรู้ก็ตามมาอ่านในตอนต่อไปได้




The Survivals Club – The Secrets and Science that Could Save Your Life

ก่อนอื่นมารู้จักกับหนังสือเล่มนี้กันก่อนดีกว่า

หนังสือเล่มนี้รวบรวมและเรียบเรียงโดย Ben Sherwood ประธานบริษัท ABC News และผู้ก่อตั้ง The Survivors Club Interactive, Inc. ในปี 2009 (http://www.thesurvivorsclub.org/)

ในเล่มนี้มีทั้งหมด 15 บท ที่เกี่ยวกับ case study ของคนที่รอดจากนาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจากอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งในแต่ละเรื่องจะสอดแทรกการอ้างอิงบทวิจัยและสถิติในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เรียกได้ว่า ไม่ได้มั่วข้อมูลหรือนั่งเทียนเอา ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากเช่นเดียวกับหนังสือฝรั่งอีกหลายๆเล่ม อยากให้หนังสือไทยมีมาตรฐานแบบนี้เยอะๆจัง แต่อย่างว่านะ เขียนหนังสือไทย ขายได้แต่ในเมืองไทยนอกจากจะได้ไม่กี่เล่มแล้ว คนที่ได้เนื้อๆก็เป็นสำนักพิมพ์กับคนขายซะหมด คนเขียนได้ไม่เท่าไหร่ คงไม่มีทุนไปทำการค้นคว้าหรือได้ข้อมูลที่ดีมา นอกจากว่าจะแปลและขายได้ในระดับโลก

หนังสือเล่มนี้ พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและวิธีเอาชีวิตรอดจากหลายๆเหตุการณ์ เช่น โดนเข็มถักนิตติ้งแทงเข้าทะลุหัวใจ เอาชีวิตรอดในท้องทะเลที่หนาวเย็นเมื่อเรืออับปาง เมื่อเครื่องบินตก เมื่อโดนสิงโตขย้ำ และอื่นๆอีกหลายสถานการณ์ ซึ่งแต่ละเรื่องเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราก็ได้ หนังสือเล่มนี้ค่อนช้างหนา สารภาพว่ายังอ่านไม่หมดแต่ก็ได้อ่านเรื่องที่สนใจอยู่ 4-5 เรื่อง สำหรับครั้งนี้ขอเล่าเรื่องเอาชืวิตรอดเมื่อเครื่องบินตกละกัน ถ้าสนใจก็คอยติดตามต่อไป

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รักอย่างไร...ให้พอดี



ชีวิตคู่นั้น เปรียบเหมือนปลูกต้นไม้สองต้น หากปลูกใกล้กันเกินไป รากของต้นไม้สองต้นนั้น ก็จะมีโอกาสพันกัน หรือแย่งอาหารกัน ทำให้ทั้งสองต้น ไม่เติบโตเท่าที่ควรเป็น ไม่แข็งแรง เหมือนชีวิตครอบครัว ที่สามีภรรยา ต่างติดหนึบ เป็นเจ้าเข้าเจ้าของกัน ตามหึง ตามหวง และตามจิก ก็จะทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่เติบโต ไม่มีเวลาไปพัฒนาตนเอง ไม่มีเวลาในการเดินทางตามความฝันของตน

แต่หากต้นไม้สองต้นนั้น ต้นนึงไม่สามารถยืนหยัดด้วยตนเอง ต้องเป็นกาฝาก เกาะอีกต้นหนึ่งไป เพื่อให้อยู่รอด ไม่ช้าไม่นาน ต้นใหญ่ก็จะถูกแย่งน้ำแย่งอาหารไปจนเหี่ยวตาย ล้มท้ังยืนเช่นกัน เหมือนสามีภรรยา ที่ฝ่ายหนึ่งรับหน้าที่ ทำงานหนักอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายนึงมีแต่มาตักตวงเรียกร้อง อย่างเห็นแก่ตัว บางครอบครัวหนำซ้ำ ยังพาเพื่อนฝูง หนี้สิน ญาติพี่น้อง มาสูบเลือดอีกฝ่ายนึงแต่ประการเดียว ครอบครัวก็จะอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน

หรือต้นไม้สองต้น ต้นไม้ต้นนึง เป็นต้นใหญ่ กิ่งใหญ่ใบหน้า แผ่ปกคลุมบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้อีกต้นนึง ไม่ได้รับแสงสว่าง ไม่ช้า ต้นที่ถูกบดบังแสงแดด ก็อาจจะเหี่ยงแห้งตายเช่นกัน เพราะถูกปกป้องบดบังความร้อน จนเกินพอดี

หรืออาจจะเป็นต้นไม้ใหญ่สองต้น ที่ปลูกห่างกันมาก จนแทบจะคนละพื้นที่ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างโตในอาณาจักรของตัวเอง ไท้ได้พึ่งพาอาศัยกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป อยู่ไกลเกินกว่าจะเชื่อมโยง ช่วยเหลือ พึ่งพิงกันได้

การเลือกคู่ชีวิตนั้น จึงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องมีมากกว่า คำว่า "รัก" คือ ต้องดูให้ครบถ้วน ก่อนที่จะร่วมหัวจมท้าย เลือกใครสักคน จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน กล่าวคือ ต้องมี

๑ สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกันหนักแน่เสมอกันปรับตัวเข้าหากันลงได้

๒ สมสีลา มีศีลเสมอกัน คือความประพฤติจรรยา มารยาท พื้นฐานการสอดคล้องกันไปได้

๓ สมจาคา มีจาคเสมอกัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีใจกว้างพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

๔ สมปัญญา ปัญญาสมกัน รู้เหตุรู้ผลเข้าใจกันอย่างน้อยพูดกันรู้เรื่อง

หากไม่สมบูรณ์ตามนี้ ครอบครัวก็ย่อมมีปัญหาค่ะ ไม่มากก็น้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตราบใดที่เรายอมรับในความแตกต่าง และพยายามปรับตัวเข้าหากัน




ไหนๆก็เล่าเรื่องชีวิตคู่แล้ว ดิฉันอยากแบ่งปัน เรื่องการ "หาคู่" ไว้ด้วย เผื่อผปค.ที่มีลูกสาว จะได้ลองใช้เทคนิคนี้ดู เพื่อการมีชีวิตครอบครัวที่ดีงามของลูกๆ

ตอนดิฉันเป็นวัยรุ่น คุณตาของดิฉัน และอจ.สอนภาษาจีนท่านนึง ที่เป็นผู้ชาย ท่านสอนวิธีเลือกสามีไว้ค่ะ ท่านบอกว่า ให้เลือกผู้ชายที่รักตัวเอง รักอย่างไร... คือ ไม่ทำอะไรที่ทำอันตรายกับสุขภาพตัวเอง และไม่มีพฤติกรรม ทำลายอนาคตของตัวเอง คือ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ออกกำลังกาย ไม่เล่นการพนัน นี่เป็นประการที่หนึ่ง หากเจอใครที่ ไม่รักตัวเอง ก็ขอให้หลีกเลี่ยงไป เค้าไม่รักตัวเอง ก็ยากที่จะรักคนอื่น

เมื่อเจอคนที่รักตัวเอง ไม่ทำลายตัวเอง ท่านก็แนะนำว่าให้ดูเรื่องที่สอง คือ ต้องเป็นคนกตัญญู รักพ่อแม่ และ รู้บุญคุณคน คนที่รักครอบครัว รักพ่อแม่ เมื่อเค้ามีครอบครัวตัวเอง เค้าย่อมรักครอบครัวตัวเองด้วย

ประการที่สามที่ต้องดู คือเป็นคนที่รักงานของตัวเอง ไปทำงานทุกวัน ขยันทุ่มเท และมีความเจริญก้าวหน้าในงาน หากเจอคนบ่นงาน บ่นลูกน้อง บ่นลูกค้า อันนี้คงไม่ใช่คนรักงาน ให้หลีกเลี่ยง เพราะคนแบบนี้ไม่เจริญก้าวหน้า

ประการที่สี่ คือ เป็นคนที่มีเมตตา มีน้ำใจ อย่างมีสติ พร่ำเพรื่อไปก็ไม่ดี ใครขอก็ให้หมด ก็ทำให้ครอบครัวมีปัญหาได้ แต่ หากแล้งน้ำใจขี้งก ก็ลำบากค่ะ ต้องหาแบบพอดีพอดี ต้องเทสต์ดูว่า แบบไหนจะเหมาะกับเรา

และที่สำคัญคือ ต้องเป็นคนดีค่ะ รักษาคำพูด และไม่ทำผิดศีล5 คนที่รักษาคำพูด รักษาสัจจะวาจา ย่อมเป็นเกราะคุ้มกันเขาจากสิ่งที่ไม่ดี และบุญกุศลของเขา ย่อมแผ่ไปถึงลูกหลานค่ะ

ดิฉันจำได้คุณตาคุยเรื่องนี้ ตอนที่ดิฉันอยู่ม.4 ก่อนที่ท่านจะเสียไม่นาน อจ.ที่สอนภาษาจีน คุยเรื่องนี้ ก่อนที่ดิฉันจะไปเรียนต่างประเทศ สิ่งที่ท่านทั้งสอนเรา เป็นเรื่องที่ดิฉันใช้ในการ เลือก "ผู้ชาย" ที่จะมาเป็นคู่ สังเกตเหมือนกัน เวลาเจอคนคุณสมบัติไม่ครบนี่ คบกันไม่ได้นานหรอกค่ะ มันไม่มีความสุขจริงๆ แต่ในวันที่เจอคนที่ "ใช่" นี่ ชีวิตจะราบรื่น การงานก็รุ่งเรือง เพราะเราไม่ต้องเครียดกับเรื่องครอบครัวที่มีปัญหาโน่นๆนี่ๆ ไม่หยุดหย่อน ลองดูนะคะ ไว้สอนลูกดู เมือ่ถึงเวลาอันควร

เลี้ยงลูกให้รักกัน













มีเพื่อนๆผปค.หลายๆท่าน ที่มีลูกหลายๆคน มาหารือ เกี่ยวกับ การเลี้ยงลูกอย่างไรให้พี่น้องรักกัน ช่วยเหลือกัน ดิฉันก็อยากถือโอกาสนี้ แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ การที่พี่น้องรักกันหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพร่ำสอนของพ่อแม่ แต่ขึ้นอยู่กับการวางตัว ของคนที่เป็นพ่อแม่ค่ะ ให้ลูกๆ สัมผัสรู้สึกได้ว่า พ่อแม่รักลูกๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เราไม่จำเป็นต้องแสดงความรัก หรือปฎิบัติกับลูกทุกๆคนเหมือนๆกัน ประเภทซื้ออันนี้ให้คนนี้ อีกคนต้องได้ด้วย อันนี้ไม่จำเป็นเลยค่ะ หรือกอดคนนี้เสร็จ ก็กอดคนนั้น อันนี้ก็ไม่ต้อง แต่ขอให้ปฎิบัติกับลูกๆด้วยความรักในแบบที่เค้าสัมผัสได้ว่า พ่อแม่รักเค้าที่สุด

เด็กๆแต่ละคน มีนิสัยไม่เหมือนกัน มีความถนัด ความชอบไม่ชอบต่างกัน เราต้องปฎิบัติกับลูก ในแบบที่เค้าเป็น ต้องไม่นำไปเปรียบเทียบกัน ไม่ต้องให้ลูกคนนี้ เหมือนลูกคนนั้น เจียระไนเค้า ในแบบที่เป็นตัวเค้าค่ะ และต้องชื่นชมลูกๆ ให้กันฟัง ว่า ลูกมีจุดเด่นอย่างไร จุดด้อยตรงไหนที่ต้องแก้ไข ในขณะที่พี่หรือน้องคนอื่นๆ มีจุดดีอย่างไร จุดด้อยอย่างไร ที่เราต้องช่วยเหลือ เข้าใจเค้า ทำแบบนี้ลูกๆจะเห็นความแตกต่างของกันและกัน ภาคภูมิใจในตนเอง ในขณะที่ภาคภูมิใจ ให้เกียรติพี่น้องคนอื่นด้วย และรู้ว่าจะช่วยพี่หรือน้อง เพื่อป้องกันจุดอ่อนของกันและกันอย่างไร

ปัญหาของหลายๆครอบครัว มาจากการเปรียบเทียบ พ่อแม่มักชมอีกคนนึงให้อีกคนนึงฟัง เพื่อหวังให้ลูกเปลี่ยน แต่เด็กที่ไม่ได้รับการชื่นชม ก็มีปมด้อย การที่เราชัดเจน ในมุมมองของเรา และทำให้ลูกชัดเจน เห็นตัวเอง และเชื่อมั่นในความดี หรือจุดเด่น ก็ช่วยให้จิตใจของเค้ามั่นคง ไม่ริษยาคนอื่น ในขณะเดียวกัน เค้าจะพร้อมที่จะเห็นใจคนอื่น และพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นด้วย

อีกสิ่งนึงที่ควรทำ คือ การชื่นชม ให้กำลังใจลูกในยามที่เค้าช่วยพี่ หรือช่วยน้อง ดิฉันมักจะเล่า "Behind the scene" ให้ลูกฟัง ว่า กว่าที่พี่ หรือน้อง จะทำอันนี้ เพื่อช่วย พี่น้อง เค้าคิดอย่างไร เค้าพยายามเพียงใด ห่วงใยเพียงใด จนทำสิ่งนี้เพื่อน้องหรือพี่ได้ ทำให้อีกฝ่ายได้มองเห็นความรัก ความพยายามของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้สิ่งที่ทำนั้นดูน้อยนิด และไม่มีค่า แต่กว่าการกระทำนี้จะออกมา มันจะต้องผ่านขั้นตอนแห่งความรักอย่างไร พี่น้องเค้าก็จะซาบซึ้ง และยินดีกับความรัก ความเข้าใจทีอีกฝ่ายนึงมอบให้

ความรักในครอบครัวนั้น จะยั่งยืนได้ไม่มีวันหมด เมื่อหมั่นเติมความรักให้กันทุกวัน เรื่องเล็กๆน้อยไม่ควรมองข้าม ไม่เห็นค่า แต่ในยามที่เค้าทะเลาะกัน หรือ เล่นกันกระทบกระทั่งกัน เราต้องทำให้เค้าไม่คาใจต่อกัน มองข้ามความผิดพลาด พลั้งเผลอของกันและกันไปให้ได้ การตัดสิน "คดี" ต้องเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม มีการสอบสวนกันละเอียดทีละขั้นตอน และชี้ให้เห็นว่า ที่มาที่ไป ของปัญหา มาจากอะไร ซึ่งก็จะผิดกันคนละนิดละหน่อย มาแน่นอน เมื่อเราตัดสินอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและชัดเจน เค้าก็จะยอมรับค่ะ ไม่คาใจ เพราะเห็นความผิดของตัวเองด้วย

ขอยืนยันว่า การทำให้ลูกรักกันนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เค้าเหมือนๆกันหรือเท่ากัน แต่ให้เค้าในสิ่งที่เค้าชอบ หรือเค้าเป็น และหลายๆครั้งก็ให้เค้าตกลงกัน ต่อรองกัน ว่าใครจะทำอะไร ผลัดกันสมหวัง หรือยอมกันบ้าง ให้อภัยกัน และเข้าใจ เห็นใจกัน และทำเพื่อกันและกัน หากพ่อแม่ทำได้แบบนี้ พี่น้องก็จะไม่มีปัญหากันค่ะ

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผมทำได้....ช่วยสร้าง Self Esteem ลูกให้แข็งแรง



สมัยก่อนตอนที่ยังไม่มี FB เคยอ่านกระทู้ของพ่อแม่หลายๆคน อยากให้ลูกเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ มาถามคำถามเกี่ยวกับการขอเข้าสอบก่อนเกณท์ที่รร.ดังๆกำหนดไว้ ก็รู้สึกเหมือนกันว่า จะเร่งกันไปทำไม มาถึงตอนนี้ จึงมีความเข้าใจมากขึ้นว่า การที่โรงเรียนกำหนดเกณฑ์ไว้นั้น มันมีความสำคัญ ที่ผปค.ไม่ควรละเลย มันไม่เกี่ยวกับว่า เรียนเร็วหรือช้าไปหนึ่งปี คนอื่นเสียโอกาส แต่เป็นเรื่องของความพร้อมของเด็ก ในหลายๆด้าน นอกเหนือจากศักยภาพในการเรียน ซึ่งทักษะหลายๆอย่างของคนเรา มันอาจจะไม่ได้มาจากการฝึกฝนเท่านั้น แต่ต้องในวัยที่เหมาะสม คือ วัยที่กำลังพัฒนาทักษะนั้นได้

เด็กเล็กๆ ถึงเด็กประถมต้นนั้น แม้อายุห่างกันไม่กี่เดือน แต่จะมีพัฒนาการที่ต่างกันมาก โดยเฉพาะในเรื่องการฟัง การควบคุมอารมณ์ และความสามารถคล่องแคล่วในบางเรื่อง รวมทั้งน้ำหนักและส่วนสูง เด็กที่เรียนก่อนเกณฑ์ จะตัวเล็ก หรือดูเล็ก มันก็เป็นส่วนนึง ที่ทำให้เด็กดูด้อย อ่อนแอ และอาจจะถูกแกล้งได้ง่าย พอเจอเพื่อนตัวใหญ่ ตัวสูงก็อาจจะกลัวและทำให้ถูกเพื่อนข่ม บุคลิกภาพ อาจจะมีปัญหา ไม่เป็นผู้นำ เพราะรูปร่างเสียเปรียบ

เด็กที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด บางทีมีปัญหาในเรื่องการฟังคำสั่ง ทักษะการฟังยังพัฒนา ไม่ถึง ไม่เข้าใจคำสั่ง หรือ เหตุผลหรือ การเรียนการสอน ที่จะเป็นแบบเด็กประถม ซึ่งจะแตกต่างกับการเรียนในชั้นอนุบาล ทำให้การเรียนก็อาจจะช้า หรือด้อยกว่าเพื่อนๆ หรือบางครั้งหลายๆครั้งอาจจะฟังรู้เรื่อง แต่ทำไม่ได้ เพราะ ยังทำใจให้ยอมรับเหตุผลไม่ได้ ทำให้อาจจะดูด้อยกว่าเพื่อน ถูกครูตำนิ หรือเด็กอาจจะเปรียบเทียบตัวเองว่าไม่เก่งเท่าเพื่อน

การตีความลักษณะนี้ของเด็ก ว่า ตัวเองเก่งสู้เพื่อนไม่ได้ หรือ เสียเปรียบเพื่อน ทำให้เด็กมีทัศนคติ เกี่ยวกับตัวเอง ว่าเราด้อย ซึ่งทัศนคติเชิงลบ แบบนี้จะส่งผลต่อบุคลิกภาพ ให้กลายเป็นคนขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่เป็นผู้นำ ซึ่งแม้ว่า โตแล้ว พัฒนาทักษะอะไรได้ตามเพื่อน ไม่ต่างกัน แต่ทัศนคติที่มีกับตัวเองแบบนี้จะติดตัวไปค่ะ ทำให้กลายเป็นคนที่ไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ และไม่พอใจในตัวเอง Self Esteem ต่ำค่ะ

อีกเรื่องที่อยากจะเล่า คือ ในทางกลับกัน มีผปค.อีกกลุ่มนึง ก็เป็นแบบที่กลัวลูกลำบาก ถึงเวลา ถึงวัยที่เหมาะสม ก็ไม่อยากจะพยายามฝึกลูกให้ทำได้ตามมาตรฐาน กลัวลูกเหนื่อย กลัวลูกลำบาก กลัวลูกเครียด ถึงวัยที่ควรจะอ่านออก เขียนได้ อ่านเก่ง เขียนเก่ง หรือ ต้องฝึกว่ายน้ำ ต้องมีวินัยในการทำการบ้าน ก็ไม่อยากจะฝึก กลัวลูกไม่รัก กลัวลูกไม่มีความสุข กะว่า มาโรงเรียนแค่ไหนแค่นั้น แม่เป็นเร่ง ไม่ต้องแข่งกะใคร ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ทำลาย Self Esteem ของลูกเช่นกัน

มีผปค.ที่ลูกเรียนในโรงเรียนแนววิชาการหลายคน บ่นกันยกใหญ่ จดการบ้านไม่ทัน การบ้านเยอะ สอบบ่อย สอบยาก Project เยอะ สุดท้ายลงเอย ด้วยการช่วยลูก ทำการบ้านแทนลูก แล้วก็มาบ่นว่า เป็นการบ้านพ่อแม่ ประเด็นคือ การบ้านเหล่านี้ มันคือ การบ้าน ที่พ่อแม่ควรเข้ามาชี้แนะ "ไม่ใช่ทำให้ลูก" พ่อแม่ไฮเทคที่รักลูก ก็เอาการบ้านมาแชร์กัน ลอกกัน ลูกจดการบ้านไม่ทันไม่เป็นไร เดี่ยวแม่ถามเพื่อน สุดท้ายลูกถึงเวลา ต้องฝึกอะไร ไม่ต้องฝึกสักอย่าง เพราะพ่อแม่คิดว่า มันไม่จำเป็น ทำแทนลูกไปเลย จะได้ไม่เสียเวลาเรียนพิเศษ


สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กกลุ่มนี้ ในโรงเรียน คือ เมื่อมาโรงเรียน เด็กก็ขาดความมั่นใจในการเรียน เพราะพ่อแม่ทำการบ้านให้หมด เวลาเขียน เวลาเรียนในห้อง ก็รู้สึกเสียความมั่นใจ ยิ่งเห็นเพื่อน เขียนเก่ง เขียนเร็วทำได้ดีกว่า เค้าก็ยิ่งท้อ รู้สึกว่าเพื่อนเก่งจัง ตัวเองเก่งสู้เพื่อนไม่ได้ เพราะตัวเองไม่เคยฝึก อยู่บ้านพ่อแม่ไม่สอน แต่ช่วยแก้ปัญหาทำแทนทุกอย่าง จนลูกไม่ได้คิด ถึงเวลาเรียนว่ายน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น ก็ไปอยู่กลุ่มเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ในขณะที่เพื่อนบางคน ไปอยู่กลุ่มว่ายน้ำเก่ง ว่ายน้ำปร๋อ หรือ พอไปเรียน เพื่อนคนอื่นครูถามอะไร ตอบได้หมด ภาษาแจ๋ว แต่ตัวเอง ฟังไม่รู้เรื่อง พูดไม่ออก อ่านไม่รู้เรื่อง นี่สร้างปมด้อยให้เด็กมากเลยนะคะ

ดังนั้น พ่อแม่เองก็ควรจะแยกแยะ การงานที่ครูมอบหมายให้ทำ คือ สิ่งที่เป็นมาตรฐานของโรงเรียน ที่เหมาะกับอายุ และชั้นปีของเด็กๆ และยิ่งโต สิ่งที่เด็กต้องฝึกก็ยิ่งมาก ไม่มีลดราคาแน่นอน ดังนั้น แม้จะยากลำบากเพียงใด ต้องให้กำลังใจ และสละเวลา ฝึกฝนลูกทีละน้อย เค้าอาจจะทำช้า ไม่คล่องแคล่ว ก็อย่ากังวล เพราะหากไม่พยายามให้กำลังใจให้ลูกฝึก เค้าก็จะต่อยอดยาก ถึงเวลาเรียนชั้นสูงๆขึ้นไป ไม่เคยแบกภาระ จะเทภาระการเรียนหนักๆเค้าก็รับไม่ไหว และยิ่งท้อ พื้นฐานไม่แน่น ก็ต่อยอดยาก

อย่างที่บอก การสูญเสีย Self Esteem นี่ มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกค่ะ ว่า เค้ามองตัวเองอย่างไร หากเค้าเชื่อว่า เค้าไม่เอาไหน สู้เพื่อนไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่เก่ง ไอ้นั่นก็ไม่ถนัด เค้าจะไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเองค่ะ ทำให้เค้าดูตัวเอง เป็นคน "ตัวเล็ก" ไม่มีคุณค่า ไร้ความสามารถ ซึ่งมันจะมีผลต่อบุคลิกภาพ และความกระตือรือร้นของเค้าเช่นกัน

เมื่อคืนน้องแชง ได้ลงมือทำโปรเจค Science ซึ่งเป็นงานโปรเจคชิ้นแรกของชีวิตการศึกษาก็ว่าได้ กำหนดส่งวันพฤหัสโน้น ดูจากเนื้องาน เป็นงานที่ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยทักษะหลายๆอย่างของเด็ก เช่น การทำ Research หารูป ตัดแปะ ตกแต่ง ซึ่งน่าจะทำได้ภายในสองชม. แต่น้องแชงนั่งทำ 5 ชม.ก็ไม่เสร็จ และคงต่อไปอีกหลายชม.

ปัญหามันไม่ใช่งานยากหรือไม่ แต่เค้ามีจินตนาการค่ะ เค้ามีความสุขมากกับมัน ค่อยคิดวางแผน เค้าค่อยๆศึกษา ค้นคว้า จนตกผลึกว่า เค้าอยากทำในหัวข้อนี้ อยากให้มันมีรูป มีเรื่องราวแบบนี้ อยากให้มีส่วนประกอบแบบนั้นแบบนี้ เราปล่อยให้เค้าคิด และทำไปเรื่อยๆ ตามจินตนาการของเค้า ดิฉันว่า มันเป็นการฝึกการใช้จินตนาการความคิด ฝึกสมาธิได้ดีมากๆ และเค้าก็ภาคภูมิใจกับมัน ในความคิดของเค้า เค้าพอใจกับงานของเค้าค่ะ มันเป็นการสร้าง Self Esteem ของเค้าได้ดีที่สุด เพราะ Self Esteem ที่แท้จริง ไม่ได้มาจากที่ว่า ใครๆยกย่องชื่นชมตัวเรา แต่มาจากการที่ตัวเราภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองต่างหาก

ในการทำงานของเด็ก เค้าอาจจะไม่คล่องแคล่ว ทำออกมาไม่เนี๊ยบ ไม่สวยงาม เท่ากับเราทำให้เอง คะแนนอาจจะออกมาไม่ดี เพราะงานไม่เนี๊ยบ เท่ากับงานที่พ่อแม่ทำให้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ เท่ากับว่า มันเป็นงานที่เค้าได้ฝึกฝน ลงมืทำด้วยตัวเอง ดิฉันเชื่อว่า ต่อไป ลูกจะต้องมี โปรเจคมากขึ้น ในหลายๆวิชาตามวัย ตามชั้นปี หากเราลงมือทำให้ลูกแล้ว เราคงต้องทำให้ลูกตลอดไป เพราะเค้าไม่มีโอกาสฝึกฝน ดังนั้น ให้ลูกเผชิญหน้ากับงานของเค้าเองตั้งแต่ตอนนี้ ดีที่สุด

ดิฉันเองก็เข้าใจ ผปค.และเด็กๆหลายครอบครัว ที่ผปค.ต้องช่วยลูกทำงาน ทำการบ้าน เพราะเวลาไม่พอ พาลูกไปเรียนพิเศษนี่ๆนั่นๆ เวลาก็ไม่พอเหลือให้ลูกได้เรียนรู้เอง ทำการบ้าน หลายๆครอบครัวบ้านอยู่ไกลโรงเรียน เสียเวลาในการเดินทางวันนึงเป็นชม. หลายชม. หลายๆบ้านติดทีวี ติดเกม หลายๆบ้าน พ่อแม่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาดูแลลูก ให้พี่เลี้ยง ให้ญาติผู้ใหญ่ช่วยดูแล หลายๆเหตุผลเหล่านี้ ทำให้เด็กๆ ไม่เหลือเวลาในการฝึกฝน ลองผิดลองถูก ทำการบ้าน ทำงานด้วยตัวเอง มีเวลาเหลือให้ทำงานส่งครู แค่ไม่กี่ชม. เด็กไม่ทันมีเวลาคิด ไม่มีเวลาตกผลึก ไม่ทันได้ฝึกฝนอะไร ตาม Requirement ของวิชาเลย ทำให้เด็กเสียโอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างน่าเสียดาย


วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สอนลูกเรื่อง เวลา (1)


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้สังเกตว่า คนสมัยนี้ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเวลา  เวลานัดหมายกัน ก็ไม่ค่อยตรงต่อเวลา  ไม่เคารพเวลาของตัวเอง  รับปาก ตั้งใจว่า จะทำอะไร กลับไม่ได้ ทำ  และไม่เคารพเวลา คนอื่นด้วย    พอมาดูรายละเอียดการใช้เวลาของคนจริงๆ กลับพบว่า คนเราส่วนมาก ใช้เวลาที่ไม่คุ้มค่า ใช้เวลาไปกับการเดินทาง รถติดขัดเช้าเย็นวันละหลายๆชม. หรือ ดูทีวี  หรือ การเที่ยวเตร่นั่งดื่มกินในยามค่ำคืน  วันนึงๆ  หมดเวลาไปมากกว่า 30-40%  กับสิ่งไร้สาระ และไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับชีวิต  นอกจากความสนุกสนาน และบันเทิง

ดิฉันเคยคำนวณให้ลูกดูว่า คนเรามีเวลา ที่ไม่พักผ่อนนอนหลับ วันละ 16 ชม. เวลาสอง ชม.นี่ เท่ากับ 10% หากเราเอาเวลาที่คนไปเสียเวลาพวกนี้ มาเรียนอะไรสนุกๆ หรือดูรายการที่มีประโยชน์ เราก็มีความสามารถมากกว่าคนอื่นๆ มีความรู้มากกว่าคนอื่นปีละ 10% ปีนึง 600 ชม. เป็นอย่างน้อย นี่มันไม่น้อยนะคะ ยิ่งหากเราใช้เวลาในวันหยุดอย่างมีค่า ลูกจะเรียนรู้มากกว่าคนอื่น ปีนึง เป็นพันชม. หากคำนวณแบบนี้ แล้วจะเสียดายเวลา ที่เอาไปดูอะไรที่ไม่มีสาระ   และดิฉันเองก็เคยเขียนเรื่องนี้ ในหนังสือ "สอนลูกให้ชนะโลก"  เกี่ยวกับการหาที่อยู่อาศัย ที่ใกล้ที่ทำงาน ใกล้โรงเรียน  นอกจากจะประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังประหยัดเวลาเดินทางไปได้อีกมาก  ซึ่งเวลาที่ประหยัดได้นี่ บางครั้งคิดเป็น 10-20% ของเวลาที่เรามีในแต่ละวัน   วันๆเรา ประหยัดเวลา ในแง่นั้น แง่นี้ มีเวลาที่มึคุณภาพ มากกว่าคนอื่น วันหนึ่ง 3-4 ชม.  ไม่ใช่น้อยนะคะ หากสามารถเปลี่ยนเป็นศักยภาพ และรายได้ได้นี่  เรียกว่า มากกว่าคนอื่น 20-30% ทีเดียว ยิ่งใช้เวลาเป็น ยิ่งมีโอกาสมากกว่านี้อีกหลายเท่า   ดังนั้น เคล็ดลับความสำเร็จ ของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือ การใช้เวลาอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับเขา ในการบรรลุเป้าหมายในชีวิต !!

ในหนังสือพ่อรวยสอนลูกให้ลงทุน มีตอนนึงกล่าวเรื่องเวลาไว้น่าสนใจดี ทำให้ระลึกถึงคุณค่าของเวลาได้


"คนส่วนใหญ่จะวัดราคากันที่จำนวนเงิน แต่ถ้าเธอมองให้ลึกอีกหน่อย เธอจะเห็นได้ว่า ราคานั้น วัดกันด้วยจำนวนเงินไม่ได้ แต่ต้องวัดกันด้วย "เวลา"  และระหว่างเงิน กับ เวลา  แท้จริงแล้ว เวลาเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่า  คนส่วนใหญ่ต้องการรวย แต่กลับไม่สนใจที่จะลงทุนใน "เวลา" เป็นอันดับแรก  พวกเขาจะทำตามตำแนะนำเด็ดๆ หรือเริ่มทำธุรกิจเองอย่างรีบร้อน และลงมือทำโดยไม่มีทักษะพื้นฐานทางธุรกิจเลย  นี่เป็นเหตุให้ ธุรกิจขนาดเล็ก 95% ต้องปิดตัวลงภายในช่วงเวลา 5-10 ปีแรก"

- พ่อรวยสอนลูกให้ลงทุน-

จะเห็นได้ว่า เวลาเป็นสิ่งที่พระเจ้า ให้คนเราอย่างยุติธรรมที่สุด คือ ทุกคน มีเวลาที่เท่ากัน คือ วันละ 24 ชม.  ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้เวลา 24 ชม.นี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  สร้างมูลค่า  สร้างผลประโยชน์อะไรกับเราได้บ้าง

ดิฉันเองได้มีโอกาส อ่านหนังสือการ์ตูนเด็กเรื่อง 50 วิธีบริหารเวลาดี เราทำได้  ซึ่งเขียนโดย Ja, Woon-Young  แปลโดย พิริยาพร ค้าเจริญดี   ก็รู้สึกเข้าท่าดีค่ะ  ซื้อมาให้ลูกอ่าน มีการ์ตูนสั้นๆประกอบด้วย  แต่คิดว่า หากเด็กอ่านรวดเดียวจบ คงไม่ค่อยได้อะไร  เพราะข้อมูลค่อนข้างมาก และเนื้อหาที่สั้นไป ไม่ละเอียด ทำให้เด็กอาจจะไม่เข้าใจ หรือไม่ซึมซับ  แต่หากเราให้ลูกอ่านทีละตอน แล้วมาพูดคุย  Discuss กัน ก็น่าจะได้ประโยชน์กว่า  เพราะการฝึกเด็กให้รู้จักคุณค่าของเวลานั้น และสามารถใช้เวลาได้ดี มันต้องอาศัยเวลาในการฝึกอย่างสม่ำเสมอ เช่นกัน

เทคนิค การบริหารเวลาที่คนเกาหลีใช้สอนเด็กนั้น มีหลายๆอย่าง ดิฉันเองก็ใช้มาตั้งแต่เด็กๆ หรือ ในวัยทำงาน  ด้วยความที่ดิฉันมีพื้นเพทำงานด้านอุตสาหกรรม  เวลาทุกวินาที จึงเป็นเงินเป็นทอง   การทำงานไม่ทัน ทำงานผิดพลาด หรือ อู้งาน เล็กๆน้อยๆ เสียเวลาในขั้นตอนการทำงาน หมายถึงกำไรขาดทุนของบริษัท และชีวิตของคนหลายร้อย หรือเป็นพันคนได้  ดังนั้น ดิฉันจึงติดนิสัยในการทำงานให้ประหยัดเวลา ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด

มีหลายๆตอนใน 50 วิธีนี้ที่เราน่าจะเริ่มสอนลูกได้ หรือนำมาใช้ในการพัฒนาการทำงานของเราค่ะ  เช่น  การเริ่มต้นวันด้วยการวางแผน  การทำตารางเวลา การทำการบ้านให้เสร็จก่อน การอ่านหนังสือล่วงหน้า  การดูทีวีเล่นเนต อย่างพอดี การจดบันทึก  กำหนดเป้าหมายในการทำสิ่งต่างๆ  รู้จักปฎิเสธในสิ่งที่ควรปฎิเสธ  การอ่านหนังสือ และอื่นๆ  ซึ่งหากมีโอกาสจะมาคุยให้ฟังค่ะ

เพื่อนที่สนใจ เรื่องการพัฒนาตนเอง  พัฒนาลูก  อยากมีชีวิตที่มีโอกาส เจริญก้าวหน้าในทุกๆด้านกว่า ที่เป็นอยู่ ลองมาทบทวนการใช้เวลา ของตัวเองกับลูกๆสักนิด  ลองปรับการใช้เวลา ให้เสียเวลาน้อยลง ครั้ง 10-20 %  ก็จะมีเวลาเหลือพอที่จะศึกษาโน่นนี่  หรือ ใช้เวลาที่มีคุณภาพมากกว่านี้ค่ะ



วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าจากร้านซาลาเปา

ร้านซาลาเปาร้านหนึ่ง กิจการดีมาก มีลูกค้าเข้าร้านตลอดทั้งวัน อยู่มาวันหนึ่งมีขอทานสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เนื้อตัวสกปรก มาที่ประตูร้าน ทำให้ลูกค้าหลายคนพากันอุดจมูกเดินหนี

ลูกจ้างของร้านก็เข้ามาต่อว่า และเอ่ยปากไล่ไปให้พ้นร้าน แต่ขอทานก็รีบอธิบาย "คุณครับ ผมไม่ได้มาขอทานหรอก แต่จะมาซื้อซาลาเปา" พร้อมกับเอาเหรียญเศษสตางค์ ออกมานับด้วยสองมือ...

ลูกจ้างรู้สึกรำคาญ ออกแรงปัด เหรียญทั้งหมด..ต ก พื้ น !!!
ขอทานตกใจ รีบก้มลงเก็บเหรียญบาทบนพื้น แต่หาอย่างไร ก็ขาดไป 1 บาท อยู่ดี

"เหรียญ 1 บาท นี่...คุณทำตกใช่ไหมครับ"

ขอทานเงยหน้ามอง ก็เห็นเถ้าแก่ของร้าน...เขาไม่กล้าแม้แต่จะรับเงินจากเถ้าแก่ และกำลังจะวิ่งหนีด้วยความลุกลี้ลุกลน แต่ก็ถูกเถ้าแก่เรียกให้หยุด พร้อมพูดว่า..."ยินดี ต้อนรับครับ คุณลูกค้า !!! ไม่ทราบว่าคุณต้องการ ซาลาเปาไส้อะไร"
ขอทานตะลึงงัน ผ่านไปสักพัก จึงตอบกลับไปว่า "ผมอยากได้ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก" "ครับ...กรุณารอสักครู่" แล้วหันไปคีบซาลาเปาไส้หมู ออกจากซึ้งมา และยื่นให้ขอทานอย่างนอบน้อม และหันไปถามลูกจ้างว่า...
"นี่คือวิธีต้อนรับลูกค้าของเธองั้นหรือ"
"แต่เค้าเป็นแค่ ขอทานคนหนึ่ง" ลูกจ้างอธิบาย
"ต่อให้เค้าเป็นขอทาน ก็เป็นลูกค้าของเรา เธอโดนไล่ออกแล้วล่ะ" เถ้าแก่กล่าว

จากนั้น...เรื่องที่ทำให้คนในร้าน ตกใจยิ่งกว่า ก็คือ...เถ้าแก่ให้ขอทานคนนี้ มาเป็นลูกจ้างในร้าน และเมื่อขอทานคนนี้ ชำระร่างกายจนสะอาด เผยให้เห็นหน้าตาที่หล่อเหลาผิดคาด อีกทั้งยังขยันขันแข็ง กลายเป็นผู้ช่วยของร้านได้อย่างดี...
ภายหลังมีคนถามเถ้าแก่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเถ้าแก่ดูออกได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้วขอทานคนนี้ เป็นทองชั้นดี เถ้าแก่ตอบกลับมาว่า...

"ที่จริงแล้วง่ายมาก เขาไม่ได้มาขอซาลาเปากิน แต่เขารวบรวมเงินอย่างอยากลำบาก มีเงินแล้วค่อยมาซื้อซาลาเปาของเรา แสดงให้เห็นว่า...

>>> เขาเป็นคนที่...เ ค า ร พ ตั ว เ อ ง <<<
.........................................................
การไม่เคารพผู้อื่น หมายถึงการไม่เคารพตัวเอง
และ มีเพียงคนที่เคารพตัวเองเท่านั้น
จึงจะเคารพ...ง า น ที่ ตั ว เ อ ง ทำ"

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ด้วยตนเอง



เพื่อนๆหลายๆคน มาหารือ หรือ บ่นกลุ้มใจเรื่องลูกอ่อนภาษาอังกฤษ หรือ ตัวเองอ่อนภาษาอังกฤษจะทำอย่างไรดี วันนี้ ดิฉันก็อปปี้ คำแนะนำดีๆมากฝาก จาก คุณจิตว่าง สงบเย็นค่ะ


โพสดีๆ กับการเรียนภาษาอังกฤษ
..............................................................................
คาถาสำเร็จที่ครูใช้เมื่อสมัยที่ครูเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง คือ

1. ต้องเรียนอังกฤษอย่างจริงจัง อย่างน้อย 6-8 ชม ทุกวัน ห้ามเว้นเลยสักวัน ยิ่งเรียนมากยิ่งเก่งไว ทำให้ได้ 365 วันเลย ฝึกฟังและอ่านเยอะๆ บ่อยๆ ซ้ำๆ เพื่อสร้างธนาคารคำศัพท์และประโยคเข้าไปในสมองให้มากๆ ก่อน

2. ทำความเข้าใจแกรมม่าพื้นฐานเพื่อช่วยในการฟังและการอ่านให้เข้าใจมากขึ้น ส่วนตัวครูเอง ครูมีหนังสือหลายเล่มมาก แต่อยากแนะนำ Essential Grammar in Use สีแดงส้ม เป็นเล่มเบสิค มีแปลไทยให้เสร็จแล้ว อ่านให้จบ และทำแบบฝึกหัดทุกบท เสร็จแล้วต่อด้วยอีกเล่ม ระดับสูงขึ้นมาหน่อย English Grammar in Use เล่มสีน้ำเงิน มีแปลไทย อ่านให้จบ และทำแบบฝึกหัดทุกบท ห้ามเว้นเลยซักบท ย้ำ...ห้ามเว้นซักบท

3. หาบทเรียนภาษาอังกฤษใน Youtube เลือกบทที่เราพอจะอ่าน/ฟังรู้เรื่อง ฝึกทุกวัน หรือจะเลือก อ่าน/ฟัง/copy จาก http://www.voanews.com/specialenglish อย่างน้อย 1 บท ทุกวัน

ถ้าอยากฝึกเขียน ก็ให้พิมพ์ตามหรือจับปากกามาเขียนตามที่เราได้ยิน คือ อ่าน 1 ประโยค แล้วก็พิมพ์หรือเขียนตามให้เสร็จ แล้วก็อ่านประโยคต่อไป พิมพ์ต่อไป

4. ถ้าสงสัย ไม่เข้าใจคำศัพท์อย่าปล่อยทิ้งไว้ ให้เปิดดิก นักเรียนเด็กๆ ครูแนะนำhttp://dict.longdo.com/ แต่โตๆ แล้ว ควรใช้http://www.ldoceonline.com/ ก็ดี ถ้าอยากให้เจ้าใจแน่นๆ ก็ใช้ทั้งสองที่

5. หาข้อสอบ Grammar พวก TOEFL, TOEIC, IELTS เก่าๆ มาทำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2-3 ชม.

ถ้าพวกเราทำตามเงื่อนไขพวกนี้ได้ พวกเราก็มีสิทธิ์เก่งได้




แถมด้วย File ของ Essentail Grammar in use ไป download กัน จะได้เอาไปสอนลูกและฝึกฝนตัวเอง เลิกบ่นได้แร่ะ ลงมือทำ จะได้เก่งๆ

http://mi.anihost.ru/Murphy/Essential%20Grammar%20in%20Use%20(second%20edition)%20by%20Hicks81_for_rutracker_org.pdf

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำอย่างไรดี...เมื่อลูกหายไป

เด็กหาย!!!

ข่าวหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันอยู่ใกล้ตัวเรามาก แต่มันแค่ยังไม่ใช่ข่าวของเราเอง ทุกครั้งที่ได้ยินข่าว เหมือนมันกระเพื่อมให้เราตื่นตระหนกเป็นพักๆ ตอนนี้น่าจะหมดเวลาที่จะมานั่งหวาดผวาแล้วล่ะ หยุดคิดว่าเราเป็นพ่อแม่ที่โชคดีกันเสียที ไม่แน่ข่าวต่อไปอาจเป็นข่าว "ลูกเรา" คนไทยบางคนอ่านปุ๊บ จะคิดว่าเราแช่ง แต่อย่างไรก็ช่างเถอะ คนเขียนบทความนี้โคตรจะหวังดีกับครอบครัวคุณเลย (ความจริงเค้าหาข้อมูลมาเพื่อป้องกันลูกเค้าเองแหละ เพราะเค้าอาจเป็นคนโชคร้ายก็ได้..นี่จริงจัง)

เตรียมความพร้อมให้ตัวเองมากที่สุดในกรณีที่ลูกของเราจะกลายเป็นเด็กที่หายไป?

1.ให้คุณพ่อคุณแม่เขียนคำอธิบายรูปพรรณสันฐานที่สมบูรณ์ที่สุดของลูกตัวเองไว้ ถ้าเปลี่ยนทรงผม สูงขึ้น อ้วนผอมขึ้นลงต้องมาอัพเดทใหม่ (เพราะถ้ามันเกิดขึ้น คุณจะตื่นตระหนก ขวัญหายที่สุด คุณอธิบายไม่ถูกหรอก)

2. ถ่ายภาพสีของบุตรหลานของคุณอัพเดทไว้ทุกๆ เดือน เอาแบบหน้าตรงๆชัดๆ (เคยเห็นใช่มั้ยเวลาที่ญาติมาตามหาคนหาย นำรูปที่ไม่ใช่รูปปัจจุบัน มันทำให้การติดตามยากลำบากเข้าไปใหญ่)

3. ถ้ามีหมอฟันที่ลูกของคุณทำอยู่เป็นประจำ ให้ทางคลินิกเตรียมความพร้อมและเก็บประวัติการรักษารวมถึงแผนภูมิทางทันตกรรมของลูกคุณไว้และให้แน่ใจว่าเขามีการปรับปรุงในแต่ละครั้งอย่างเป็นปัจจุบันทุกครั้งเพื่อสามารถใช้ในการตรวจสอบหรือใช้ประวัติทางด้านทันตกรรมมาอ้างอิงตัวบุคคล (อันนี้สำคัญมากๆ ไปคราวหน้า ไปขอสำเนาประวัติมาเก็บไว้บ้างก็ดีค่ะ)

4. เราน่าจะรณรงค์ให้กับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายในประเทศของเราเร่งให้เด็กไปทำบัตรประชาชนกันอย่างจริงจังได้แล้ว (อันนี้แหละประโยชน์ของบัตรประชาชนของเด็ก) เพราะเมื่อไปทำจะมีการพิมพ์ลายนิ้วมือของลูกเราไว้และมันจะถูกเก็บไว้ในทะเบียนประวัติที่เป็นฐานข้อมูลประชากรในที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย (บันทึกเลข 13 หลักลูกไว้ในมือถือเสียด้วย)

5.เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากลูกของคุณเช่น เส้นผม ฟันซี่ที่หลุดแล้ว เศษเล็บ แปรงสีฟันเก่า ใส่ไว้ในซองจดหมายสีน้ำตาลให้เรียบร้อยแล้วให้ลูกใช้น้ำลายเลียปิดผนึก เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ที่แห้งที่สามารถหยิบมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ อ้อเก็บให้ห่างจากความร้อนด้วยค่ะ

6. ช่วงนี้ ที่สำคัญสุดๆ คุณต้องบอกกับลูกแล้ว หัดให้ลูกท่องหัดเขียนที่อยู่บ้านเค้าให้ได้ อย่างไรเสีย ภาษาไม่เก่ง พูดและเขียนคำว่า Thailand ได้ก็ยังดี เผื่อพลัดไปไกลถึงต่างแดน เบอร์โทรพ่อแม่ (สำคัญนะ!!!)

7. สอนเรื่องความปลอดภัยให้ลูกมากๆ ถ้าโดนจับไป ต้องปลอดภัยกลับมา บอกลูกไว้ให้อดทน เอาตัวเองให้รอด อย่าร้องไห้ อย่าขัดขืน(เก็บชีวิตของลูกเอาไว้ รอกลับมาเจอแม่ ช้าหรือเร็วไม่เป็นไร ให้ลูกปลอดภัยที่สุด). ถ้าไม่ปลอดภัย อย่าหนี

8. บอกลูกให้มั่นใจว่า ถ้าลูกถูกใครพาไป ให้ลูกรู้ว่า พ่อกับแม่จะตามหา ให้พบโดยเร็วที่สุด และอย่าเชื่อใคร ถ้าเค้าจะใช้อุบายโกหกลูกว่าพ่อกับแม่ไม่รักลูก หรืออะไรก็ตามทำให้เค้าต้องเอาลูกไปเลี้ยง มันไม่มีวันเป็นเรื่องจริง

9. จดจำสถานที่ ที่ลูกอยู่ให้ดีๆ ดูป้ายตามซอยต่างๆ ว่ามีตัวอะไรบ้าง สอนลูกเรื่องการดูชื่อสาขาของธนาคาร อะไรก็ตามที่ง่ายที่สุดต่อการจดจำสำหรับเด็ก และย้ำเสมอ อย่าเชื่อใครถ้าเค้าบอกลูกว่า ถ้าลูกไปให้คนอื่นช่วยเหลือ หรือไปหาตำรวจ จะโดนตำรวจจับเพราะลูกทำความผิด(เพราะคนพวกนี้อาจให้ลูกคุณไปช่วยมันทำสิ่งเลวๆ เช่นส่งยาเสพติด ย้ำ!!!ลูกต้องทำที่สั่งเพราะเอาตัวรอด ลูกเป็นคนดีเสมอ และลูกจะปลอดภัย ถ้าแจ้งตำรวจให้พากลับมาบ้าน

ตื่นตูมกันบ้างก็ได้ เด็กหายทั่วโลก ไม่ได้หายเฉพาะในประเทศไทย AEC ที่กำลังจะเปิดปลายปี 58 ไม่ใช่จะมีแต่สิ่งดีๆ คนดีๆเข้ามาในบ้านเรา ถ้าติดตามข่าว พวกขบวนการต่างๆมันจะไหลเข้ามาบ้านเราด้วย เรื่องนี้ไม่ตลก ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่คำว่าสายเกินแก้

10 เรื่องที่ต้องตระหนัก เกี่ยวกับการลักพาตัวเด็ก-



-1- คนร้ายมักไม่ใช่กลุ่มแก๊งค์ ไม่ต้องไปกลัวรถตู้ กลัวคนที่พูดจาดีๆ หว่านล้อมเด็ก ชักชวนเด็ก ด้วย เงิน ขนม ของเล่น เกมส์ หรืออ้างว่าพ่อแม่ให้มารับ

-2- คนร้ายมักเลือกเด็กจากความเสน่หา ดังนั้น คนร้ายอาจเห็นเด็กหลายครั้ง ไม่ใช่เจอกันครั้งแรกแล้วลักพาตัวไปเลย

-3- คนร้ายอาจชวนเด็กหลายครั้ง กว่าเด็กจะยอมไว้วางใจและยอมตามไป ดังนั้น พ่อแม่ต้องหมั่นคุยกับลูกว่ามีคนแปลกหน้ามาชักชวนไปไหน มาให้เงิน ให้ขนมหรือไม่อย่างไร

-4- อายุเฉลี่ยของเด็กที่จะถูกลักพาตัว อยู่ที่อายุ 4 ขวบ มีโอกาสพอๆ กันทั้งเด็กหญิงและเด็กผู้ชาย เพราะเป็นวัยที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ชื่อพ่อแม่ ที่อยู่ เด็กยังจำไม่ค่อยได้

-5- สถานที่ปลอดภัยที่สุด คือ สถานที่ที่อันตรายที่สุดที่เด็กจะถูกลักพาตัว ในบ้าน หน้าบ้าน ในหมู่บ้าน วัดในชุมชน หน้าโรงเรียน ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ คือสถานที่ที่เด็กมักถูกลักพาตัว

-6- ไม่มีคนร้ายรายใด ใช้กำลังประทุษร้าย หรือฉุด กระชาก ลากถูเด็ก ดังนั้น คนร้ายจะหลอกล่อเด็กจนเดินตามไปดีๆ อย่างปกติ ไม่มีสิ่งผิดสังเกตุ ดังนั้น คนในชุมชน คนบ้านใกล้เรือนเคียง ต้องช่วยกันดูเวลาเห็นเด็กในชุมชนเดินกับคนแปลกหน้า

-7- พ่อแม่และสถานศึกษา ต้องสอนลูกหลาน อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้า อย่ารับขนม หรือเชื่อว่าคนร้ายจะพาไปซื้อ ขนม ของเล่น หรือพาไปเล่นเกมส์ อย่ารับเงินจากคนที่ไม่รู้จัก

-8- พ่อแม่และสถานศึกษา ต้องติดตั้งทักษะ การร้องขอความช่วยเหลือ เพราะเด็กที่ถูกลักพาตัว เกือบทั้งหมด ถูกพาไปโดยการเดิน นั่งรถโดยสารสาธารณะ นั่งรถไฟ ผ่านคนและแหล่งชุมชน แต่เด็กไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ

-9- เมื่อลูกน่าจะถูกลักพาตัว หรือหายไปแบบผิดปกติ สามารถไปแจ้งความได้ทันที ไม่ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง

-10- ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงาwww.facebook.com/thaimissing เบอร์ตรงถึงเจ้าหน้าที่ 0807752673


ขอบคุณข้อมูลจาก
ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
4 กรกฏาคม 2556

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลักการทำโทษเด็ก #

หลักการทำโทษเด็ก จากหนังสือ รักลูกให้ถูกทาง ของพระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) ในบท วิธิแก้นิสัยเกเร ผู้อ่านสามารถ download หนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มได้เลยครับ # หมอมินรักษ์โลก

หลักการทำโทษเด็ก 14 ข้อ


1. อย่าลงโทษเด็กในเมื่อความผิดนั้นไม่ได้ปรากฏต่อหน้า หรือไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นความผิดของเขา

2. อย่าทำโทษเด็กเพื่อประชดประชันอีกคนหนึ่ง เช่น โกรธพ่อทุบลูกเสียบอบช้ำไป อย่างนี้นับว่าไม่เป็นธรรมแก่เด็ก

3. อย่าผลัดเพี้ยนการทำโทษในเมื่อความผิดนั้นได้ปรากฏต่อหน้า หรือมีพยานหลักฐานแล้ว เช่น ผลัดว่า "รอให้พ่อกลับมาก่อนเถอะ จะให้พ่อเฆี่ยน"

4. อย่าเอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับโทษของเด็กมาเป็นการลงโทษเด็ก เช่น สัญญาว่าคืนนี้จะพาเด็กไปดูละคร พอเด็กกระทำผิดก็เลยงดการดูละครเสีย การงดไปดูละครเป็นการลงโทษเด็ก ซึ่งไม่เกี่ยวกันและไม่สมควรทำเช่นนั้น

5. อย่าเอาชนะเด็กภายหลังที่ทำโทษเด็กแล้ว จะทำให้เด็กคิดเห็นไปว่าการทำโทษเป็นการบรรเทาโทสะของตน หรือทำให้เด็กมองเห็นว่าท่านเป็นคนอ่อนแอ เด็กจะไม่เกรงกลัวในกาลต่อไป

6. อย่าลงโทษเด็กที่ได้รับโทษตามความผิดของเขาแล้ว เช่น เด็กซนไปล้มลงท่านก็โกรธไปตีซ้ำ พร้อมกับพูดหยาบสำทับเขา ย่อมเป็นการไม่เหมะสม เพราะการหกล้มสอนเขาให้รู้ว่าเจ็บปวดขนาดไหนอยู่แล้ว อย่าเพิ่มความปวดร้าวทางจิตใจเขาอีกเลย และหากว่าเด็กยังไม่เดียงสา ท่านก็ควรให้ความระมัดระวังแก่เขา

7. อย่าทำโทษเด็กด้วยลิ้นของตน การด่าว่าบ่นจู้จี้เด็กเป็นสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นการถ่ายทอดนิสัยให้เด็กเปล่าๆ คนปากจัดจึงควรระวังสักหน่อย

8. สิ่งใดที่ท่านบอกว่าผิด ก็ให้ถือว่าเป็นความผิดตลอดไป เช่น เด็กของท่านตบหน้าท่าน ท่านก็ตีเขาในฐานะที่ความประพฤติไม่ดี แต่ต่อมาเขาตบหน้าท่านอีก บังเอิญอารมณ์ของท่านดี ท่านหัวเราะเห็นเป็นของขันไป การกระทำของท่านทำให้เด็กงงงวย ไม่สามารถเข้าใจว่าเมื่อไรการกระทำเช่นนั้นถูกผิดอย่างไร

9. อย่าทำโทษให้ผิดกันระหว่างผู้มีสิทธิทำโทษเด็ก พ่อทำโทษเด็กอย่างใดในความผิดอย่างหนึ่ง แม่ก็ควรทำโทษแบบเดียวกัน

10. อย่าทำโทษโดยความลำเอียง เช่น พี่น้องทะเลาะกัน พี่ถูกทำโทษหนัก น้องถูกทำโทษสถานเบาเพราะเห็นว่าเล็กกว่า ทำให้พี่เกิดน้อยใจและริษยาน้อง เกิดความเคียดแค้น อาจที่จะทำร้ายน้องได้ในภายหลัง และขาดจากความเคารพในตัวท่านด้วย

11. อย่าทำโทษเด็กโดยอาการเปาะแปะและพร่ำเพรื่อ จงทำให้เป็นกิจจะลักษณะ

12. จงอย่าลงโทษเด็กโดยอาการไม่สมควร เช่น โกรธไม่พูดด้วยสามวัน

13. อย่าโต้แย้งในเรื่องการลงโทษเด็กต่อหน้าเด็ก ถ้าจะโต้แย้งกันต้องอย่าให้เด็กเห็น

14. อย่าแสดงอาการเหลาะแหละ ไม่กล้าเอาจริงเอาจัง ด้วยการแสดงเอะอะให้คนอื่นทำโทษเด็กให้ การทำโทษนั้นจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ และไม่ทำให้เด็กเชื่อถือยำเกรง

Credit picture: www.dek-d.com

ขอบคุณข้อมูลจากหมอมิน  ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทยค่ะ

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เลี้ยงลูกให้รู้จักพอเพียง ..ไม่เป็นทาสของเงิน

เลี้ยงลูกให้รู้จักพอเพียง ..ไม่เป็นทาสของเงิน
มาดูตัวอย่างดีๆเช่น > กฎเหล็ก7ประการของยีน ชาทสกี


ยีน ชาทสกี เป็นนักเขียนชื่อดังของอเมริกา และบรรณาธิการสายการเงินประจำรายการ NBC's Today Show ที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาคำตอบว่า ทำไมเด็กยุคใหม่ ถึงไร้วินัยทางการเงิน และไม่รู้จักคำว่าพอเพียง

กฎเหล็ก 7 ประการของ ยีน ชาทสกี


กฎข้อที่ 1 สอนลูกให้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเลือกให้เป็น การตัดสินใจเลือกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องทำ ในชีวิตนี้เราต้องเลือกระหว่างอะไรกับอะไรสักอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกระหว่างไอแพต 2กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือระหว่างบ้านหลังใหญ่ย่านชานเมือง กับคอนโดฯหรูใจกลางเมือง การสอนลูกให้รุ้จักตัดสินใจเลือกอย่างถูกต้อง จะต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังแบเบาะจนถึง 2 ขวบ เพื่อสอนให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรแล้วต้องได้ตามใจไปซะทุกอย่าง เทคนิคสร้างทักษะการเลือกที่ถูกต้องให้ลูก ควรเริ่มจากการฝึกลูกให้เลือกระหว่างของ 2 อย่าง จากนั้นค่อยเพิ่มจำนวนเป็น 3-4 อย่าง ถ้าลูกเลือกแล้วและรบเร้าอยากเปลี่ยนใจ พ่อแม่ต้องห้ามใจอ่อนเด็ดขาด เพราะจะสร้างนิสัยไม่ดีให้ลูก ต้องปลูกฝังให้ลูกรู้จักการเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง ที่สำคัญต้องแฮปปี้กับการตัดสินใจ ไม่ใช่ว่าพอได้ของเล่นชิ้นหนึ่งมาแล้ว ก็ลงดิ้นกับพื้นร่ำร้องอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยไม่รู้จักคุณค่าของเงิน


กฎข้อที่ 2 กติกาต้องเป็นกติกา เข้มงวดอย่างมีเหตุผล และเลิกตามใจลูก ผลสำรวจของ แดน คายด์ลอน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บ่งชี้ว่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเลี้ยงดูที่เข็มงวดของพ่อแม่ และครอบครัวที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด มีแนวโน้มที่จะไม่ออกนอกลู่นอกทาง เมื่อเทียบกับลูกเศรษฐีที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เกิด ลองใช้เทคนิคหักเงินทุกครั้งเมื่อลูกไม่ทำตามกติกา หรือลงโทษลูกด้วยวิธีอื่นๆเช่นห้ามดูทีวี


กฏข้อที่ 3 กำหนดเงินค่าขนมตายตัว เพื่อฝึกให้ลูกบริหารเงินด้วยตัวเอง สำหรับพ่อแม่ที่ไม่กล้าปฏิเสธลูก การกำหนดเงินค่าขนมตายตัวอาจอยาก เพราะเมื่อลูกรบเร้าอยากได้โน่นได้นี่ พ่อแม่จำนวนมากก็มักใจอ่อนซื่อให้ทุกที ลองเริ่มต้นด้วยการกำหนดเงินค่าขนมเป็นอาทิตย์และค่อยเพิ่มภาระเป็นรายเดือน วิธีนี้จะทำให้เด็กเห็นคุณค่าของเงิน และรู้จักวางแผนการใช้เงินของตัวเอง เด็กหลายคนยอมอดขนม เพื่อเก็บเงินไว้ซื่อของเล่น เพราะฉะนั้นพ่อแม่ไม่ควรนำเรื่องเงินค่าขนมมาโยงกับการบังคับให้ลูกช่วยทำงานบ้าน


กฎข้อที่ 4 สอนลูกให้รู้จักการรอคอย ปลูกฝังให้ลูกรู้ว่าการได้อะไรมายาก ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าการได้อะไรมาง่ายๆ พ่อแม่ที่ดีควรส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ที่จะเก็บเงิน เพื่อซื้อของที่ต้องการ เช่นถ้าลูกอยากซื้อคอมพิวเตอร์ราคาแพง ในขณะที่มีค่าขนมเพียงอาทิตย์ละไม่กี่ร้อยบาท สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยได้ก็คือ ทุกครั้งที่ลูกหยอดกระปุกออมสิน คุณพ่อคุณแม่ควรสมทบเงินในอัตราที่เท่ากันให้ลูก นอกจากการรวบรวมเงินออมทั้งหมดที่สะสมมาได้จากการช่วยงานพิเศษภายในบ้าน เมื่อทำแบบนี้แล้ว เด็กย่อมจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง


กฏข้อที่ 5 สนับสนุนให้ลูกทำงานพิเศษ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในการสอนลูกให้มีความรับผิดชอบ พ่อแม่อาจเริ่มต้นด้วยการจ้างลูกให้ทำงานพิเศษภายในบ้าน เช่นล้างรถ เลี้ยงน้อง เมื่อลูกได้ลิ้มลองรสชาติของการหาเงินได้เอง และอยากได้ข้าวของที่มีราคาแพงเกินกว่ารายได้พิเศษในบ้าน พวกเขาก็จะออกไปหางานพิเศษทำนอกบ้าน อย่าโวยวายเด็ดขาด ถ้าจู่ๆลูกจะขอไปทำงานนอกบ้าน


กฏข้อที่ 6 สอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงิน เด็กๆรู้จักใช้เงินเป็น ก็ตั้งแต่พวกเขานับเงินเป็นแล้ว แต่เรื่องที่ยากยิ่งกว่าคือ ทำยังไงถึงจะสอนให้พวกเขารู้จักคุณค่าของเงิน มีทิปง่ายๆสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ เมื่อไหร่ที่ลูกร่ำร้องอยากได้ของเล่น ลองทดสอบลูกว่าของเล่นที่อยากได้สำคัญระดับไหน ตั้งแต่ 1-5 โดยทั่วไปแล้วเด็กทุกคนมักตอบว่า สำคัญที่สุดเป็นอันดับ 5 จากนั้นทิ้งเวลาไว้สักอาทิตย์หนึ่ง แล้วค่อยกับมาถามลูกใหม่ การทำอย่างนี้สม่ำเสมอจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาศักยภาพในการตัดสินใจด้วยตัวเอง และรู้ว่าควรใช้เงินอย่างไรให้คุ้มค่า


กฏข้อที่ 7 เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก จงอย่าเหนียวหนี้ พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก โดยเฉพาะเรื่องวินัยการเงิน เริ่มต้นง่ายๆจากการจ่ายค่าขนมให้ลูกตรงเวลา อย่าเพาะนิสัยเหนียวหนี้ให้พวกเขาเห็น มิฉะนั้นพวกเขาก็จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เหนียวหนี้ เมื่อพูดคำไหนก็ต้องคำนั้น พ่อแม่ต้องเข้มงวดกับกติกาที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ตัวเองยังทำผิดคำพูดอยู่บ่อยๆแล้วนับประสาอะไรจะบังคับลูกได้

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์
24มิ.ย56

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีการปฏิบัติของพ่อแม่ที่จะมีลูกฉลาด





ความฉลาดของลูกมาจากฝีมือพ่อแม่ล้วนๆ ^_^

นักวิจัยชาวต่างประเทศ ได้ทำการศึกษาวิธีการปฏิบัติของพ่อแม่ที่จะมีลูกฉลาด หลายพันคนเพื่อจะดูว่าลักษณะของพ่อแม่แบบไหนที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาดได้ สรุปได้ลักษณะออกมาดังนี้

1. ตอบคำถามลูกด้วยความอดทน และจริงใจ
2. เอาใจใส่คำถามของลูก
3. มีกระดานสำหรับแสดงผลงานของลูก
4. ยอมรับความรกรุงรังของบริเวณที่ลูกกำลังทำงานสร้างสรรค์
5. จัดห้องส่วนตัวให้ลูก

6. แสดงความรักลูกในฐานะลูกมิใช่จากผลงานของลูก
7. ให้ลูกมีความรับผิดชอบตามวัย
8. ช่วยลูกให้รู้จักวางแผนและตัดสินใจเอง
9. พาลูกไปชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ
10. สอนลูกให้รู้จักทำหน้าที่ให้ดีขึ้น

11. ให้ลูกคบกับเด็กทุกชนชั้น
12. กำหนดมาตรฐานพฤติกรรมของลูกอย่างมีเหตุผล
13. ไม่เปรียบเทียบลูกกับลูกคนอื่น
14. ไม่ลงโทษลูกด้วยการวางเฉยเมย
15. มีของเล่นและหนังสือให้ลูก

16. ส่งเสริมให้ลูกคิดด้วยตัวเอง
17. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
18. ฝึกนิสัยรักการอ่านให้ลูก
19. ส่งเสริมให้ลูกสร้างเรื่องและคิดฝัน ตามแบบของเขา
20. พิจารณาความต้องการของลูกอย่างรอบคอบ

21. มีเวลาให้กับลูก
22. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการวางแผนไปเที่ยวด้วย
23. ไม่เยาะเย้ยลูกเมื่อทำผิด
24. ส่งเสริมให้ลูกจดจำเรื่องราวคำประพันธ์และเพลงต่าง ๆ
25. ให้ลูกได้เข้าสังคมกับคนทุกวัย

26. สอนให้ลูกทดลองปฏิบัติด้วยตัวเอง เพื่อช่วยลูกให้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ
27. ให้ลูกเล่นวัสดุเหลือใช้ที่เขาสนใจ
28. ให้ลูกได้พบปัญหา และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
29. ชมลูกเมื่อทำกิจกรรมที่ดี
30. ไม่ชมลูกอย่างพร่ำเพรื่อ ทั้ง ๆ ที่ใจจริงไม่อยากชม

31. มีความจริงใจทางด้านอารมรมณ์กับลูก
32. คุยกับลูกได้ทุกเรื่อง
33. ให้โอกาสลูกได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
34. ส่งเสริมลูกให้เป็นตัวของตัวเอง
35. ช่วยลูกหารายการโทรทัศน์ที่มีประโยชน์

36. ส่งเสริมให้ลูกคิดในแง่ดีเกี่ยวกับความสามารถของตัวเอง
37.ไม่บอกปัดความล้มเหลวของลูกโดยพูดว่า "พ่อแม่เองก็ทำไม่ได้"
38.ไม่ให้ลูกพึ่งผู้ใหญ่เท่าที่จะทำได้
39.เชื่อว่าลูกมีความรู้สึกดีและไว้วางใจ
40. ยอมให้ลูกทำผิดพลาด ดีกว่าพ่อแม่เข้าไปช่วยทำแทน

จากวิธีปฏิบัติ 40 ข้อนี้ สรุปว่าพ่อแม่พร้อมที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาดนั้น จะมีข้อปฏิบัติอยู่ในระหว่าง 25-35 ข้อ

ฉะนั้นเราลองมาตรวจสอบตัวเราเองจากข้อปฏิบัติเหล่านี้ดูว่า เราได้ปฏิบัติกับลูกของเราเป็นประจำได้กี่ข้อ และข้อใดบ้างที่ยังปฏิบัติน้อยหรือยังไม่ได้ปฏิบัติ

เราจะได้ ฝึกหัดหัวข้อเหล่านั้นให้มากขึ้น เพื่อช่วยส่งเสริมลูกให้ฉลาดได้ตามที่เรามุ่งหวังไว้

เครดิต http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/41003/41003-04-2.htm

ขอบคุณข้อมูลจาก FB  คุณ การศึกษาทางเลือกวิทยาศาสตร์ โดยพ่อสะพานฟ้า

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เล่าเรื่องการศึกษาแนว EP (3)

ตอนสุดท้ายนี้ ดิฉันอยากจะเขียนถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต สำหรับเด็กๆที่เรียนแนว EP  และอินเตอร์  แต่เด็ก EP จะมีโอกาสมากสำหรับการเปลี่ยนแปลง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระบบการศึกษาในประเทศไทย ในความเห็นของดิฉันนะคะ


เท่าที่ดูจากการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งในระดับโรงเรียนรัฐ และในระดับมหาวิทยาลัย   มหาวิทยาลัยต่างๆ มีการเปิดหลักสูตรนานาชาติมากขึ้น ในคณะที่เป็นที่นิยม และคณะที่จะเติบโตในอนาคต   เพราะคณะใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของโลกในตอนนี้  หลายๆคณะ ไม่สามารถสอนได้เป็นภาษาไทย เพราะสร้างบุคลากรครูวิชานี้มาสอนไม่ทัน   แต่หากเป็นเป็นหลักสูตรอินเตอร์ จะหาอจ.ต่างประเทศมาสอนง่ายกว่า     ดังนั้น จะเห็นวิชาแพทย์ วิศวะสาขาต่างๆ  และอื่นๆ เปิดสอนในหลักสูตรอินเตอร์มากขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 7 สาขาวิชา ที่จะเปิดให้ทำงานเสรีในอาเซียน   บุคลากรที่เรียนในหลักสูตรอินเตอร์ จะมีโอกาสหางานได้ทั้งในอาเซียน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย  

โรงเรียนชั้นนำ และมหาวิทยาลัยต่างๆ จะพร้อมใจกันเปิดหลักสูตร อินเตอร์ มากขึ้น ด้วยสาเหตุหลายประการ คือ การเรียนในหลักสูตรพวกนี้ จะทำให้มีรายได้เข้าสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งได้เป็นกอบเป็นกำ   สามารถใช้ระเบียบพิเศษ ในการจัดจ้างบุคลากรที่มีคุณภาพได้   มีเงินปรับปรุงระบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพสากลเพื่อการแข่งขัน  สามารถรองรับนักเรียนจากในประเทศ และต่างประเทศ ที่มีกำลังพร้อมจะจ่าย    ดังนั้น เด็กที่เรียน EP ต่อในระดับมัธยม  ทางเลือกก็จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ โอกาสในการศึกษาต่อในประเทศ  ก็กว้างขึ้น ไม่ใช่ต้องไปเรียนต่างประเทศเสมอไป  

การเรียน EP  และต่อมหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์ในประเทศ ก็เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างเครือข่าย เพื่อนฝูง ทีมงาน ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกลุ่มครอบครัวที่ส่งลูกเรียนในหลักสูตรแบบนี้ ก็มักจะเป็นครอบครัวนักธุรกิจในอาเซียนด้วยกัน  ลูกหลานที่จะออกไปรับหน้าที่ ทำกิจการของครอบครัว ที่ต้องทำงานกับทีมงานในประเทศ  หรือ ทีมงานในอาเซียน จะได้ประโยชน์มากกับการเรียนในแบบนี้   เพราะจะได้รู้จักเพื่อนๆที่มีศักยภาพในประเทศอาเซียน ในอนาคต  

จากประสบการณ์ส่วนตัว ที่ดิฉันเคยทำงานในระดับอาเซียน และในระดับ Global ต้องยอมรับว่า ฝรั่งและเอเชีย และประเทศอาเซียน มีพื้นฐานความคิด ความเชื่อ และการทำงานต่างกันมาก  ต่างมีจุดเด่น มีวิธีการทำงานที่ต่างกัน   มันบอกยากว่าอะไรดีกว่ากัน   ในการสอนลูก หรือวางกำลังให้ลูก  จึงต้องมองไกลๆ ว่า ลูกจะมีโอกาสในทางใดบ้าง  สมัยก่อน  หากต้องการให้ลูกทำงานนานาชาติ  เราก็มอง ฝรั่ง อเมริกา ยุโรป หรือ ออสเตรเลีย     หลังๆ ก็มาญี่ปุ่น มาจีนด้วย  เพราะแนวโน้มเทรนด์การทำงานเป็นแบบนั้น   เดี๋ยวนี้ เราต้องมอง ทีมงานภายในด้วย  คู่ค้าด้วย ซึ่งหลังๆนี้ ประเทศอาเซียน ก็เป็นกลุ่มประเทศเนื้อหอม  มีโอกาสในการลงทุน และค้าขาย   การวางกลยุทธ์ในการวางแผนการศึกษาลูก การศึกษาแนว EP จึงกลายเป็นทางเลือกที่มาแรงค่ะ  เพราะมันตอบโจทย์ข้อนี้ได้ดี   จะสังเกตว่า มีเด็กในอาเซียนจำนวนมาก มาเรียนในประเทศของเรามากขึ้น  และส่วนมากก็เป็นลูกหลานของครอบครัวที่มีพื้นฐานที่ด้านอาชีพการงานที่ดีในประเทศของเขา  ดังนั้น การที่ลูกได้เรียน เติบโต เป็นเพื่อนๆกันไป ก็ทำให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจ และอาชีพการงานได้ 


ผปค.หลายๆท่าน อาจจะคิดว่า มันเป็นความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา เด็กมีโอกาสไม่เท่ากัน มันก็อาจจะจริงค่ะ   แต่อยากให้มองว่า ประเทศชาติ ทุกประเทศ ต้องการเด็กที่มีคุณภาพหลากหลาย เพื่อมาทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน   การศึกษาทั่วโลกในปัจจุบัน ก็เปิดกว้างหลายๆทาง  เพื่อตอบโจทย์ของครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน และเพื่อรองรับเด็กที่มีทักษะต่างๆกัน    ไม่ว่าลูกของเราจะเรียนในระบบไหน หรือเรียนแบบไหน  ขออย่าได้กังวล นำมาเปรียบเทียบกัน  ขอให้รู้จักข้อดี จุดเด่นของตน  เข้าใจข้อด้อยของเรา  แล้วปรับแก้  สอนลูกให้สมดุล  ที่โรงเรียนอ่อนอะไร  ที่บ้านก็เสริมในส่วนที่ขาด ก็จะไม่มีปัญหาค่ะ   เราอาจจะมีโอกาสส่งลูกเรียนโรงเรียนแพงๆ ไม่ได้ แต่เราก็อาจะปรับเปลี่ยน มาเสริมลูกในส่วนที่เราทำได้้ด้วยตนเอง  เสริมทักษะชีวิต  ให้ลูกมีทักษะพิเศษ  มีวิชาชีพติดตัว ก็เป็นไปได้ค่ะ  อย่าได้กังวลมากเกินไป ว่าเรากำลังเสียเปรียบ  หรืออย่าได้ คิดว่า เรามีเงิน เราได้เปรียบ ก็ไม่ใช่  ความสำเร็จของลูกๆในอนาคต  มันจึงขึ้นอยู่กับพ่อแม่มากกว่า ว่า จะสามารถเสริม หรือ อบรมสั่งสอน ลูกได้ดีเพียงใด ปลูกฝังอะไรในตัวลูกบ้าง ลูกก็ได้แบบนั้น

ให้กำลังใจนะคะ




เล่าเรื่องการศึกษาแนว EP (2)

มาสู่ กลุ่มคำถามที่ สองต่อ


และอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรต้องพิจารณาสำหรับ EP ในแต่ละสถาบัน EP รร.รัฐ กับ เอกชน จะให้ความแตกต่างกันไม๊คะ
และถ้าชั้นประถมเรียน EP ในชั้นมัธยมจะมีเส้นทาง อย่างไรบ้างคะ ถ้าเรามีจุดหมายให้ลูกเป็นหมอหรือวิศวะ (ณ.ตอนนี้ลูกยังเลือกไม่ได้ค่ะ คิดแค่เอาตามที่พ่อแม่เป็นก่อน ส่วนถ้าอนาคตลูกอยากเป็นไรค่อยแล้วแค่เค้า) หรือว่าต้องกลับมาสู่สายปกติ ถึงจะเข้าเรียนโรงเรียนชั้นนำ อย่างสวนกุหลาบ สาธิตปทุมวัน หรือเตรียมอุดม ได้ และถ้าต้องกลับมาสู่สายปกติ เด็กต้องปรับตัวอย่างไรบ้างคะ เราจะต้องส่งเสริมหรือให้เค้าเรียนเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง


เพื่อนๆจะสังเกตว่า ค่าเล่าเรียน ของการศึกษาแนว EP นั้น มีหลายราคามาก มีทั้งถูกทั้งแพง มาจากหลายสาเหตุ คือ ไส้ในไม่เหมือนกันค่ะ ดังที่ได้เล่าไปบ้างแล้วว่า การศึกษาแนว EP ของแต่ละโรงเรียนนั้น ไม่เท่ากัน บางโรงเรียน เรียนภาษาอังกฤษ 80% บางโรงเรียน ใช้ภาษาอังกฤษ 60% เช่น บางโรงเรียนเรียนทุกวิชาเป็นสองภาษา เอาหลักสูตรไทย มาแปลเป็นภาษาอังกฤษ ตอนเรียนแบ่งกลุ่มเรียน เรียนทั้งไทย ทั้งอังกฤษ โดยสลับกลุ่ม สลับครู คนละครึ่งในทุกวิชา บางโรงเรียน ระบุเลย ว่า วิชาไหนจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ โดยไม่ต้องเรียนวิชานั้นเป็นภาษาไทย หรือ จะเรียนไทยเฉพาะวิชาไหนบ้าง

สิ่งที่แตกต่างอีกอย่าง คือ มาตรฐานของครู เพราะราคาค่าตัวของครูต่างชาตินั้น แตกต่างกัน ครูที่มีวุฒิครู จบปริญญาโท ครูฝรั่ง Native Speaker ค่าตัวเดือนนึง เป็นแสนบาท แต่หากใช้ครูที่ไม่ต้องมีวุฒิครู ไม่กำหนดวุฒิว่าต้องปริญญาโท เป็นครูเอเชียก็ได้ ค่าตัวก็เป็นหลักหมื่นก็พอ ดังนั้น ทำให้ต้นทุนการเรียนสอน แตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับว่า ใช้ครูเกรดไหนมาสอน

ขนาดของห้องเรียน ในการเรียนการสอนนั้น ต้องดูว่าห้องนึง มีนักเรียนกี่คน ครูกี่คน หากนักเรียนเยอะ ครูน้อย ต้นทุนก็ไม่สูง ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพงนักได้ หากห้องเรียนขนาดเล็ก จำนวนเด็กต่อครูไม่มาก ต้นทุนก็สูงไปด้วย

อีกปัจจัยนึงที่ทำให้แตกต่าง ก็คือ ระยะเวลาที่เคยเปิดการเรียนการสอน การปรับเปลี่ยนการเรียนมาเป็นระบบ EP หรือ เพิ่มระบบ EP กว่าจะเข้าที่ก็ใช้เวลาลองผิด ลองถูกหลายปี หากโรงเรียน มีประวัติการเรียนการสอนแบบ EP มาหลายปี มีการสร้างนักเรียนที่เรียนจบมาแล้วหลายๆรุ่น ทางโรงเรียนจะพอเห็นคุณภาพ หรือปัญหาของการเรียนการสอน โรงเรียนที่เปิดหลักสูตร EP มาใหม่ๆ ก็อาจจะไม่เห็นปัญหาเหล่านั้น โดยเฉพาะปัญหาของบุคลากร ที่ลาออกบ่อย เปลี่ยนงานบ่อย เพราะมีการแย่งตัวกันสูงมาก การเรียนการสอนจะไม่คอยราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับมัธยม เพราะการเรียนวิชาเฉพาะทาง เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ จะหาครูต่างชาติ ที่เก่งเฉพาะทางได้ยากมากค่ะ ดังนั้น เด็กต้องช่วยตัวเองสูงมาก ในการสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง หากเรียนหลักสูตรไทย จะหาครูเฉพาะทางได้ง่ายกว่า หรือเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เค้าก็จะมีศักยภาพในการหาคนตามหลักสูตรของเค้า จากประเทศของเค้ามาสอน แต่ละวิชาในระบบของเค้าอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ค่าเล่าเรียนโรงเรียนอินเตอร์แพงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับมัธยมเป็นต้นไป หลายๆแห่ง ปีละครึ่งล้าน เป็นต้นไป


ดังนั้นพ่อแม่ที่ส่งลูกเรียน EP ในปัจจุบันนี้ หลายๆครอบครัว จำนวนไม่น้อย มักจะเปลี่ยนสายการเรียนให้ลูก ในชั้น มัธยม เพราะในเวลานั้น จะค่อนข้างชัดเจน ว่าลูกจะถนัดในทางไหน และเชื่อว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษของลูกก็ดีพอสมควรแล้ว พ่อแม่ที่คิดว่าลูกจะไปเรียนในต่างประเทศ ก็จะย้ายไปเรียนอินเตอร์ เพื่อปรับระบบการเรียนของลูก ให้เป็นฝรั่งมากขึ้น คือ กล้าคิด กล้าพูด แสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง อภิปราย และเรียนรู้ค้นคว้าด้วยตนเอง ทำรายงานเป็นภาษาอังกฤษ พ่อแม่ที่คิดว่าลูกจะไปเรียนในมหาวิทยาลัยของไทย ก็จะย้ายลูกมาเรียนในระบบไทย หรือ จะเรียนในระบบ EP ต่อไปก็ได้ แต่ต้องเสริมในบางเรื่อง

การที่เด็กจะย้ายไปเรียนโรงเรียนวิชาการชั้นนำ ในชั้นมัธยม ก็เป็นธรรมดาที่พ่อแม่และเด็กๆ ต้องเสริม ในชั้นประถมปลาย เป็นอย่างน้อย คงต้องเรียนติวค่ะ เพราะการแข่งขันสูงมาก ลองไปซื้อคู่มือ แนวข้อสอบมาดู จะเห็นว่า สิ่งที่ข้อสอบออก กับโรงเรียนสอนนี่จะคนละทิศละทางมาก ดังนั้น หากจะให้ลูกสอบเข้าโรงเรียนพวกนี้ คงต้องเรียนเสริม ยกเว้น เราจะมีปัญญาสอนลูกทำข้อสอบแนวพวกนี้

อยากบอกว่า ระบบการเรียนของเมืองไทย ไม่ว่าจะเรียนโรงเรียนแบบไหน วิชาการหรือไม่ EP แปลไทยเป็นอังกฤษ หรือเปล่า การเรียนตามหลักสูตร มันไม่ยากนะคะ เพราะมันเป็นแบบ "มาตรฐานต่ำ" คนที่เรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งในโรงเรียน ไม่ใช่ว่า จะเป็นคนเก่ง ในสนามสอบในระดับประเทศ เพราะข้อสอบในโรงเรียน เป็นข้อสอบ ที่มีความยากในระดับ 2-3 เป็นอย่างมาก ในขณะที่ข้อสอบเข้าพวกนี้ หรือสนามสอบระดับประเทศ เป็นข้อสอบ ที่ยากระดับ 3-5 หรือ 6 เพราะเค้าจะคัดเฉพาะหัวกะทิ เข้าไปเรียน เด็กๆที่สอบโรงเรียนเหล่านี้ จึงต้องหาที่เรียน ที่สอนให้ทำโจทย์ระดับนั้นได้

ดิฉันไม่ได้บอกว่ามันดีหรือไม่ แต่โครงสร้างการศึกษาประเทศไทย หลักสูตรไทยเป็นแบบนี้ จึงต้อง เข็นลูกเป็นบ้าเป็นหลัง กันขนาดนี้