วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

คุณกำลังเป็นส่วนทำร้ายลูกหรือเปล่า โดย คุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน



คุณกำลังเป็นส่วนทำร้ายลูกหรือเปล่า


แม่ประเภทแรกทำทุกอย่างให้ลูกหมดเลย แม่ประเภทนี้กลัวว่าลูกจะลำบาก กลัวลูกอด กลัวลูกเจ็บ กลัวไปซะทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นจะไม่ยอมปล่อยให้ลูกเผชิญทุกอย่างโดยลำพัง ถ้าเป็นลูกเล็ก แม่ก็จะคอยอุ้มอยู่ตลอดเวลา จะไม่ยอมปล่อยให้มาคลุกดินคลุกทราย หรือเดินโดยลำพัง จะมีคนเดินตาม เมื่อเด็กพลาดล้ม จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะคอยห้ามโน่นห้ามนี่ กังวลว่าลูกจะไม่ปลอดภัย แต่มันมาจากความรัก เป็นแม่ที่คอยประคบประหงม ดูแลเป็นไข่ในหิน ดูแลอย่างดี ทำทุกอย่างให้หมด

แม่ประเภทที่สอง
เป็นประเภทที่ต้องการให้ลูกทดแทนบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปของพ่อแม่ตอนวัยเด็ก อะไรที่เราไม่เคยมี ก็อยากให้ลูกมี อะไรที่ไม่เคยทำ ก็อยากให้ลูกได้ทำ เมื่อวัยเด็กแม่อาจจะมีฐานะไม่ดี มีปมด้อย หรือลำบากมาก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อตนเองประสบความสำเร็จ เลยชดเชยทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูก แต่ก็มาจากความรัก

แม่ประเภทที่สาม
เป็นประเภทที่ขีดเส้นทางชีวิตให้ลูกเดิน เพราะเชื่อว่าเส้นทางที่เลือกไว้ให้ลูกเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด เช่น อยากให้ลูกเป็นหมอ ก็วางเส้นทางให้ลูกไปเป็นหมอ โดยไม่ได้ดูความถนัดหรือความชอบของลูกเลย แต่เชื่อว่าตนเองเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยจะพูดย้ำกับลูกอยู่เสมอว่า เพราะว่าแม่รักลูก ถึงเลือกเส้นทางเช่นนี้ให้ลูก โดยไม่ฟังเสียงของลูก แม่ประเภทนี้ก็รักลูกนะ

แม่ประเภทที่สี่
แม่ประเภทนี้จะไม่ค่อยทันลูก คือพร้อมจะเชื่อทุกอย่าง ลูกบอกอะไรเชื่อหมด โดยไม่ได้สนใจ หรือตรวจสอบเลย ว่าลูกทำอะไรเหมาะสมหรือเปล่า แม่ประเภทนี้มักขาดความรู้ เช่น เมื่อลูกขอเงินเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้หาความรู้ แต่ในความเป็นจริง ลูกอาจนำมาเล่นเกม คืออยากได้ เลยอ้างสารพัดเลย แต่แม่ไม่เคยรู้เลย ไม่เคยตรวจสอบ

แม่ประเภทสุดท้าย
ลูกไม่เคยผิดเลย เป็นแม่ที่ปกป้องลูกตลอดเวลา ไม่ว่าลูกจะมีปัญหากับใคร ทะเลาะกับพ่อแม่เอง ลูกฉันก็ไม่เคยผิด แม้ลูกจะทำผิดก็โทษผู้อื่นเสมอ เวลาลูกมีปัญหากับใครก็ออกโรงปกป้องเต็มที่ เพราะฉะนั้นเวลาเขาโตขึ้น ถึงต้องไปถามคนอื่นไงว่า “ไม่รู้เหรอว่าลูกใคร” จะลืมไปว่าลูกใคร เพราะว่าจะปกป้องลูกตลอดเวลา





แม่ทั้งห้าประเภทนี้ เป็นแม่ที่รักลูกเหลือเกิน แต่รักในทางที่ผิด อันนี้มันมีมาตรวัดชัดเจน ลูกที่เป็นผลผลิตจากความรักของแม่ที่เป็นแบบนี้ มักจะก่อให้เกิดความไม่ลงตัว หรือเกิดปัญหาต่างๆ ในสังคม ลองสังเกตคนใกล้ตัว มันสะท้อนได้ บางทีนิสัยต่างๆ มันเกิดมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ซึ่งพื้นฐานมันมาจากความรัก ฉะนั้นต้องตั้งคำถามว่า รักถูกทางไหม รักถูกวิธีไหม มันอาจจะเข้าข่าย 'พ่อแม่รังแกฉัน' โดยที่ไม่รู้ตัว แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันส่งผล และกลายเป็นดีเอ็นเอเลยบางอย่าง เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะยังติดนิสัยแบบนี้ แทนที่จะมาช่วยกันแก้ปัญหา กลายเป็นว่ามาสร้างปัญหาให้สังคม
.
บางคนมีลูกเพื่อให้รู้สึกว่าครอบครัวเราสมบูรณ์ มีสามีเป็นพ่อ มีเราเป็นแม่ แล้วก็ต้องมีลูก เพื่อให้ครบองค์ประกอบของครอบครัว ก็ถือว่าฉันทำหน้าที่ของฉันได้สมบูรณ์ในฐานะที่เป็นแม่ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ มันต้องมีสิ่งที่ตามมาหลังองค์ประกอบความสมบูรณ์นั้นด้วย
.
ที่จริงความสมบูรณ์ในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องมีลูก สามีภรรยาที่เขาไม่มีลูก ก็เป็นครอบครัว หรือกระทั่งสามีภรรยาหย่าร้าง เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยว เขาก็เป็นครอบครัว เขาก็มีความสมบูรณ์ได้ในความเป็นครอบครัว คือองค์ประกอบมันไม่ได้หมายความว่า จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ลูกเท่านั้น
แต่องค์ประกอบคือการสามารถสร้างสัมพันธภาพในครอบครัวจากมิติชีวิตที่ตัวเองอยู่ตรงนี้ จากทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะมีสมาชิกในครอบครัวกี่คนก็แล้วแต่ แต่สามารถสร้างครอบครัวที่มันสมบูรณ์ขึ้นมาได้ บางคนไม่ได้แต่งงาน อยู่กับพ่อแม่ ก็เป็นครอบครัว ดูแลได้อย่างดี มีความสุขได้ อาจจะดีกว่าการที่เราพยายามสร้างความสมบูรณ์ ในแบบฉบับที่เป็นต้นแบบของเรา สุดท้ายพอเรามีเขา แล้วเราดูแลเขาได้ไม่ดี หรือว่าเราไม่ได้ให้เวลาในการทุ่มเท ทั้งความรักและความรู้ไปควบคู่กัน
เพราะการจะพัฒนาเด็กคนหนึ่งขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าคลอดเสร็จแล้วจะกลายเป็นคนดีของสังคมได้ ต้องอาศัยความทุ่มเท อาศัยเอาตัวแลกเอาใจแลก ของคนที่เรียกได้ว่าเป็นแม่





อีกมุมนึงต้องให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้ด้วย คือมีความยากขึ้นหลายเท่าตัวมาก จากประสบการณ์ที่มีเพื่อนสนิทมีลูกอายุประมาณ 5-6 ขวบ กำลังจะสอบเข้าโรงเรียน ชั้นเตรียมอนุบาลหรือป.1 ของโรงเรียนชื่อดัง ทางโรงเรียนได้ส่งข้อสอบมาให้ เห็นแล้วรู้สึกตกใจ ปรากฏว่าเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษ เด็กต้องเรียงประโยคให้ถูกต้อง จัดลำดับประธาน กรรม กิริยา ได้แล้ว
.
โดยเฉพาะสังคมไทย ที่เราให้ความสำคัญกับวิชาการมาก มันถึงได้ออกมาในรูปแบบของข้อสอบอนุบาล ป.1 ป.2 บางทีเราไปดูข้อสอบของเด็ก ยังรู้สึกว่ามันยาก ถ้าเราเป็นเด็กยุคนี้ เราคงรู้สึกว่ามันยากแน่นอนเลย ฉะนั้นทางออกคุณพ่อคุณแม่ก็คือ ต้องจับลูกไปเรียนพิเศษ หรือไม่ก็ต้องรีบกลับมาจากที่ทำงานเพื่อมาติวหนังสือลูก
.
อยากให้คิดตามเรื่องของความคาดหวัง ลองนึกถึงวันแรกของการได้เป็นแม่ วินาทีแรกของการได้เป็นแม่ เชื่อไหมว่า คนเป็นแม่ทุกคน วันนั้นทั้งคนเป็นพ่อและแม่จะต้องนึกอยู่ว่า ถ้าคลอดลูกออกมาแล้ว สิ่งที่ปราถนาอยู่ตอนนั้น คืออยากให้ลูกออกมารอดปลอดภัย อวัยวะครบสมบูรณ์เป็นปกติ ณ เวลานั้น พอคลอดออกมาแล้วได้ยินเสียงลูก มันคือความสุข วินาทีนั้น เชื่อว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนอธิฐานแบบนั้นจริงๆ นั่นเป็นความคาดหวังแรก ความคาดหวังครั้งนั้น เราต้องคิดว่าเป็นครั้งที่สำคัญที่สุด
.
แต่พอเวลาผ่านไป ลูกเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ความคาดหวังของพ่อแม่มันเติบโตไปพร้อมกับลูก มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ช่วงวัยทารก คนเป็นพ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี นั่ง คืบ คลาน เดิน เล่น ก็อยากให้เร็ว มีความสุขกับการเติบโต พอลูกเข้าสู่วัยเรียน อยากให้ลูกเรียนเก่ง เข้าโรงเรียนชื่อดัง อยากให้มีความสามารถพิเศษ ส่งเสริมการเรียนกันอุตลุต เรียนดีอย่างเดียวไม่พอ มันต้องเก่ง คืออยากให้เป็นเด็กพิเศษในหมวดของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ พอเข้าสู่วัยรุ่น อยากให้ลูกเข้าสู่มหาวิทยาลัยชื่อดัง อยากให้ลูกเป็นหมอ อยากให้ประกอบอาชีพที่คิดว่าดีสำหรับพ่อแม่ ก็ทำให้ตนเองรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อไปบอกชาวบ้าน เมื่อลูกเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อยากให้ลูกทำงานที่ดี บริษัทมั่นคง มีชื่อเสียง เงินเดือนสูงๆ เป็นความคาดหวังของพ่อแม่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ พอเข้าสู่วัยที่จะสร้างครอบครัว อยากให้มีคู่ครองที่ดี มีฐานะมั่นคง มีเงินทองมั่งคั่ง อยากให้มีลูกหลานที่ดีอีก อยากให้ไปเรื่อยๆ มันเป็นวงจรของความคาดหวังของพ่อแม่ที่ไม่เคยสิ้นสุด

เวลาที่ถามพวกเขา เขามักจะตอบว่า ไม่ขออะไรมาก ก็อยากให้เป็นคนดีของสังคม มีความสุข ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่...สุดท้ายความคาดหวังทั้งหมดมันจะแปรสภาพไปตามกระแสอยู่เสมอ ความคาดหมายของการเป็นคนดีหรือมีความสุขจะขึ้นอยู่กับสายตาของพ่อแม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายตาของเด็ก
.
ทีนี้คำถามก็คือว่า ถ้าเราแปรเปลี่ยนความคาดหวังในตัวลูกให้กลายมาเป็นการเห็นคุณค่าจากความสุข มีความสุขที่ได้เล่น มีความสุขที่ได้เรียน มีความสุขในการใช้ชีวิต มีความสุขในการแบ่งปัน มีความสุขใรการเป็นผู้ให้ หรือมีความสุขในทุกๆ วัน เพราะว่าเวลามีความสุขมันจะไม่กดดันในชีวิต
.
อยากจะสะกิดใจ อยากให้กลับมาคิดว่า เมื่อไหร่ที่เราใช้ความคาดหวังสิ้นเปลืองเกินไป หรือมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้กลับไปนึกถึงวันแรกที่คลอดเขาออกมา วันนั้นเราอธิฐานแค่นี้ใช่ไหม ขอเทอด ให้ลูกออกมารอดปลอดภัย อวัยวะครบปกติใช่ไหม แต่ทำไมนานวันไปเรื่อยๆ เป็นแม่ไปเรื่อยๆ ความคาดหวังมันแปรสภาพไปเรื่อยๆ ล่ะ มันต้องมีอะไรกระตุกสักนิดว่า สุดท้ายเราเลี้ยงลูกให้เป็นตัวเขา หรือเราเลี้ยงลูกตามความคาดหวังของเรา
.
และสิ่งหนึ่งที่อันตราย บางทีสิ่งที่เราต้องการให้ลูกเป็น เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ สุดท้ายแล้วมันมาเสิร์ฟ ความต้องการของเราที่เป็นพ่อแม่รึเปล่า ความสุขแต่ไม่ใช่ความสุขของลูก แต่เป็นความสุขของเรา เช่นเรื่องอาชีพ เราจะเห็นตัวอย่างเยอะมาก ลูกอยากไปแนวนึง แต่พ่อแม่อยากมากเลย มันเป็นความฝันของเขาตั้งแต่วัยเด็ก ว่าอยากเป็นหมอ ตัวเองเป็นไม่ได้ พอมีลูกก็เอาละ ปลูกฝังทุกอย่าง ปูทาง ทุ่มเททุกอย่าง คาดหวัง อยากให้ลูกไปเป็นอย่างนั้น เรียนเสาร์อาทิตย์ไม่เคยหยุด ชีวิตปิดเทอมไม่เคยมี เพราะต้องเรียนเลข คณิต เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ตลอด ปรากฏว่าลูกไม่ชอบเลย วิชาที่ว่ามาล่อแล่ แต่ดันไปชอบวาดรูป อยากเป็นนักดนตรี ศิลปะ สุดท้ายต้องมาตั้งคำถามเหมือนกันว่า “ที่เราคิดว่ามันดีสำหรับลูก เพื่อไปตอบสนองความสุขของตัวเราหรือว่าของลูกกันแน่”

บาป 14 ประการของมารดาบิดา

พ่อแม่รังแกฉัน (บาป 14 ประการของมารดาบิดา)
พ่อแม่รังแกฉัน ว. วชิรเมธี


•พ่อแม่บางคน (1)
ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา



•พ่อแม่บางคน (2)
ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่



•พ่อแม่บางคน (3)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว



•พ่อแม่บางคน (4)
ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ



•พ่อแม่บางคน (5)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว



•พ่อแม่บางคน (6)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้าง ปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก



•พ่อแม่บางคน (7)
ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร



•พ่อแม่บางคน (
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น



•พ่อแม่บางคน (9)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร



•พ่อแม่บางคน (10)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”



•พ่อแม่บางคน (11)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี



•พ่อแม่บางคน (12)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์



•พ่อแม่บางคน (13)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต



•พ่อแม่บางคน (14)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

สร้าง Self Esteem ให้ลูกด้วยการใช้เวลาช่วงปิดเทอม

เมื่อวันก่อนฟังรายการพ่อแม่มือใหม่หัวใจเกินร้อย คุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน เธอให้คำแนะนำดีๆมากมาย เกี่ยวกับกิจกรรรมปิดเทอมค่ะ เป็นกิจกรรมที่เราสามารถใช้ช่วงเวลานี้ พัฒนาทักษะด้านต่างๆ ที่ลูกๆไม่มีโอกาสได้ฝึก หรือ ยังอ่อนด้อยอยู่ได้ โดยเราไม่จำเป็นต้องเไปเสียเงินมากมายในการพาลูกไปค่ายโน้นค่ายนี้ หรือ ให้ลูกอยู่บ้าน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือ ดูทีวีทั้งวัน โดยที่เราควรทำดังนี้

1) ตั้งเป้าหมายร่วมกับลูกว่า ปิดเทอมนี้ ลูกอยากทำอะไรบ้าง ให้ลูกมีส่วนร่วมในการวางแผน เช่นลูกๆอยากไปเที่ยวชมสถานที่โน้นนี้ เค้าก็กำหนดมาค่ะ และอยากเล่นเกมกล่องต่างๆในบ้าน

2) ลองพิจารณาดูว่า มีทักษะอะไรที่ลูกควรจะพัฒนาบ้าง เช่นของครอบครัวดิฉันเอง ดิฉันวางแผนสำหรับน้องแชง คือ การเขียนเรียงความภาษาไทย ภาษาอังกฤษ การพิมพ์ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย เพราะลูกยังทำไม่ค่อยได้ ดังนั้นเป้าหมายหลักในช่วงปิดเทอม สำหรับกิจกรรม โฮมสคูลที่บ้าน จะเน้นเรื่องการเขียนเรียงความ และการทำ Powerpoint ส่วนน้องเชียร์ ก็คงจะหัดอ่านไทย และอังกฤษให้ได้ คล่องแคล่ว นี่คือเป้าหมาย

3) ลองพิจารณาดูว่า ลูกช่วยตัวเองได้ครบถ้วนหรือยัง หากยังก็พัฒนาทักษะด้านนั้น เช่น การฝึกลูกให้ทำอาหารเอง ก็ให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกเมนูที่ง่ายๆ เมนูที่ชอบ ช่วยกันค้นหาสูตรอาหาร พาไปจ่ายตลาด และทำอาหารด้วยกัน หรือ เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงฝีมือ หรือ ลูกใคร อาจจะต้องหัด จัดห้องของตัวเอง เก็บข้าวของที่รุงรังรกเรื้อ หรือ เคลียร์ของที่ต้องไปบริจาค ก็ควรใช้โอกาสช่วงปิดเทอมในการจัดการ ลูกใครยังใส่เสื้อผ้าเองไม่เป็น ก็ควรหัดช่วงนี้

4) ลองพิจารณาว่ามีญาติพี่น้องคนใด ปู่ย่าตายาย ที่ลูกๆไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยม ก็ถือโอกาสพาไปเยี่ยม พาไปเที่ยวกัน ญาติพี่น้องจะได้ใกล้ขิดกัน

5) ลองหาวันเวลาที่เหมาะสม พาลูกไปทำงานจิตอาสา เช่น เก็บขยะ ตามสวนสาธารณะ ไปเยี่ยมเด็กกำพร้า หรือ เยี่ยมคนชรา

6) ลองหาวันเวลาที่เหมาะสม พาลูกไปโบสถ์ ไปวัด หรือสถานที่สำคัญ เพื่อฝึกนั่งสมาธิ หรือ อธิษฐานภาวนา ตามหลักศาสนา ที่ตนเองนับถือ ได้ศึกษาคำสั่งสอนของศาสนาของตนเองมากขึ้น

7) ในวันว่าง พาเด็กๆไปตามห้องสมุดต่างๆ หาหนังสือดีๆอ่านค่ะ มีมากมายหลายที่ๆน่าไป ลองหาดูนะคะ ทัวร์ห้องสมุด ก็ไม่เลว ถูกดี

ลองดูกันนะคะ อยากให้ทุกปิดเทอม เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆได้ฝึกอะไรที่โรงเรียนไม่ได้สอน ได้ใช้ชีวิตนอกห้องเรียน ฝึกทักษะให้รอบด้าน และฟื้นฟู จิตใจ สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองด้วยการเริ่มต้นทำอะไรที่มีคุณค่าต่อสังคมส่วนรวม นอกเหนือจากการทำตามใจตัวเอง และเห็นแก่ตัวเองเท่านั้น การทำกิจกรรมเหล่านี้ จะสร้าง Self Esteem การยอมรับนับถือตัวเองของเด็กๆได้ดีค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (5)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 5)

แล้วที่นั่งที่ไหนปลอดภัยที่สุด

หลายคนเชื่อว่า ส่วนใกล้หางเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดทำให้ปลอดภัยที่สุด จริงหรือไม่ ในปี 2007 นิตยสาร Popular Mechanics ตีพิมพ์บทความการวิเคราะห์การตกจองเครื่องบินและสรุปจากสถิติว่า ที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือส่วนหาง ด้วยอัตราการมีชีวิตรอดเมื่อเกิดอุบัติเหตุอยู่ที่ 69% ในขณะที่ส่วนหน้าคือชั้น Business กับ First class จะมีอัตราการรอดเพียง 49% แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนไม่เห็นด้วยด้วยเหตุผลที่ว่า เราไม่รู้หรอดว่าอุบัติเหตมันจะเกิดขึ้นจากส่วนไหน ซึ่งมันอาจจะเกิดได้จากส่วนไหนก็ได้ อย่างในกรณีของ Asiana Airline ส่วนที่เจอและไปก่อนเพื่อนเลยคือส่วนบริเวณหางนั้นเองที่กระแทกกับพื้นและหลุดออกไป บางครั้งอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นจากบริเวณปีก คือ กลางลำตัว ดังนั้น มันจึงไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับส่วนที่เกิดปัญหา แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า เครื่องบินที่ลำใหญ่กว่าจะสามารถรับแรงกระแทกได้ดีกว่าเครื่องที่เล็กกว่า

อย่างไรก็ตาม จากคำถามที่ว่านั่งที่ไหนดีที่สุด คำตอบที่สมเหตุสมผลอาจจะจะเป็น กฏห้าแถว ซึ่งบอกไว้ว่า ผู้ที่มีชืวิตรอดส่วนใหญ่มักจะเดินเป็นระยะทางห้าแถวที่นั่งก่อนถึงทางออก ดังนั้น พยายามเลือกที่นั่งที่ห่างจากทางออกไม่เกินกว่าห้าแถว แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ประตูทางออกที่เราเล็งเอาไว้อาจจะติดขัด เสีย หรือติดไฟอยู่ทำให้ไม่สามารถใช้เป็นทางออกได้ นอกจากนั้น ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ริมทางเดินมีโอกาสรอดมากกว่าผู้โดยสารที่นั่งติดหน้าต่าง โดยที่โอกาสรอดอยู่ที่ 64% ต่อ 58% ทางออกด้านหน้าและท้ายเครื่องมักจะใหญ่และเดินได้สะดวกกว่าทางออกที่อยู่ตรงกลางและบริเวณปีก

อันตรายที่สำคัญที่ทำให้มีคนตายจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินคือ ไฟ หลายๆคนไม่ตระหนักถึงอันตรายของไฟ ไม่รู้ว่าไฟสามารถลามได้ทั่วบริเวณได้เร็วแค่ไหน จริงๆแล้วเร็วมาก เร็วกว่าที่คุณจะคิดเสียอีก ทุกๆวินาทีที่เสียไปกับการตัดสินใจว่าจะทำอะไรดีทำให้โอกาสของการรอดชีวิตลดลงไปเรื่อยๆจากไฟที่ลุกลามอย่างรวดเร็วและเกิดความร้อนและควันไฟที่เป็นพิษ การตกของเครื่องบินมักจะไม่เป็นสาเหตุของการตายมากเท่ากับไฟ

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (6)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 6 บทสรุป)

ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณจะต้องนั่งเครื่องบิน อย่าไปกังวลมากจนเกินไป เพราะตามสถิติโอกาสที่คุณจะตายเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบินจะน้อยมาก แต่เพื่อความไม่ประมาท

- เลือกที่นั่งริมทางเดินที่อยู่ห่างจากทางออกไม่ไกลเกินกว่า 5 แถวที่นั่ง
- เตรียมเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมก่อนการขึ้นเครื่องและพร้อมจะหนีออกจากเครื่องเมื่อเกิดปัญหา
- จดจำจำนวนแถวที่นั่งก่อนไปถึงทางออกโดยหาทางออกอย่างน้อย 2 ประตู
- มีสติในช่วง 11 นาทีอันตรายพร้อมจะหาทางหนีออกจากเครื่องเมื่อเกิดเหตุทันที เพราะคุณมีเวลาแค่ 90 วินาที

แค่นี้เราก็มั่นใจว่าเราเป็นหนึ่งในผู้มีโอกาสรอดจากเครื่องบินตกสูงถ้ามันต้องเกิด เมื่อกี้นี้เข้าไปดูใน web site ของ Asiabook เห็นว่ามีหนังสือเล่มนี้ขายด้วย ราคา 490 บาท ผมว่าคุ้มนะ อ่านสนุกและได้ความรู้มาก ยังมีอีกหลายบทนอกจากบทนี้ อ่านไว้ประดับความรู้ จะดีมากเพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ หรือใครจะซื้อเป็น eBook ใน kindle ก็ได้จะถูกว่าด้วยราคาประมาณ $10 อ่านก็สะดวกไม่ต้องแบก

สุดท้ายขอให้สนุกสนานกับการเดินทางในทุกรูปแบบโดยเฉพาะเครื่องบิน และขอให้โชคดีครับ คราวหน้าจะเอาหนังสือที่อ่านแล้วคิดว่ามีประโยชน์มาย่อให้อ่านอีก

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (4)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 4)

เราควรจะเตรียมตัวอย่างไรเมื่อรู้ตัวว่าเครื่องกำลังจะตกหรือชนอะไรบางอย่าง

อีกอย่างนึงที่คุณจะต้องทำความเข้าใจคือ ตัวคุณจะเจออะไรบ้างในขณะที่เครื่องกำลังตกหรือกำลังชน แม้ว่าคุณจะรัดเข็มขัดนิรภัยเป็นอย่างดีตามระเบียบ ร่างกายของคุณก็จะต้องไปชนอะไรบางอย่างอยู่ดี มันป็นการออกแบบโดยตั้งใจ อันที่จริงแล้ว ที่นั่งแถวหน้าคุณถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน มันถูกออกแบบมาให้รับแรงกระแทกของตัวคุณและหยุดตัวคุณไว้ไม่ให้กระเด๊นไปที่อื่นหรือได้รับบาดเจ็บจากเข็มขัดนิรภัย ด้วยเหตุนี้ ที่นั่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงคือ บริเวณแถวหน้าที่ไม่มีที่นั่งแถวที่มีเพียงกำแพงหรือฉากกั้นข้างหน้า กำแพงนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เช่นเดียวกับที่ที่นั่งข้างหน้าคุณช่วยชีวิตคุณไว้ได้เมื่อเกิดการกระแทกอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ ก่อนที่เครื่องจะชนกับอะไรบางอย่าง เราควรจะเตรียมพร้อมโดยอยู่ในท่าก้มหัวแล้วกอดเข่า หรือเอาหมอนปิดหน้าผากและแนบให้ชิดอุปสรรคข้างหน้าที่หัวจะไปกระแทก

ท่านี้จะช่วยลดความเร็วของหัวที่จะไปกระแทกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและอย่าลืมรัดเข็มขัดให้แน่น อย่าปล่อยให้มันหลวมเกินไปแต่ก็อย่ารัดจนเกินไป

และอย่าลืม ถ้าหน้ากากปรับความดันหล่นลงมา อย่าพยายามยัดมันกลับเข้าไป เครื่องบินมันกำลังบอกคุณว่า คุณต้องใส่มันเดี๋ยวนี้เพราะคุณต้องการอากาศด่วน และถ้าคุณมีเจ้าตัวเล็กนั่งอยู่ข้างๆ อย่าทำหวังดีใส่ให้เค้าก่อน เพราะคุณต้องช่วยเหลือตัวเองให้มีอากาศให้ได้เร็วที่สุด ไม่งั้นคุณอาจจะหมดสติหลังจากที่มัวแต่ใส่หน้ากากให้กับเจ้าตัวเล็กก่อนที่ใส่ให้ตัวคุณเอง
สิ่งที่ควรตระหนักอีกอย่างหนึ่งคือ จงลืมสัมภาระติดตัวทุกชนิดได้เลย ทิ้งมันไว้บนเครื่องหนะแหละไม่ว่าของชิ้นนั้นจะแพงแค่ไหนก็ตาม แต่ชีวิตของคุณแพงกว่า เชื่อเหอะ หลายคนต้องตายเพรามัวแต่พยายามหนีพร้อมกับโน๊ตบุ๊กหรือแม้กระทั่ง iPad สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ช่วยคุณในการหนีแต่จะช่วยหน่วงเวลาในการหนีของคุณและอาจจะทำให้คุณติดอยู่ในเครื่องโดยไม่มีโอกาสได้ออกมาเลย อย่าลืม คุณมีเวลาแค่ 90 วินาทีเท่านั้น

อ้อ เกร็ดเล็กๆน้อยๆแต่ก็สำคัญมากก็คือ การแต่งกายขึ้นเครื่องควรจะต้องมีความเหมาะสมต่อการหนีเมื่อเกิดอุบัติเหตุ คุณต้องการรองเท้าที่รัดกุมที่วิ่งได้โดยไม่หลุด อย่าลืมว่าพื้นจะร้อนมากหรืออาจจะมีเศษแก้วอยู่กระจัดกระจายเต็มพื้น เราคงไม่ต้องการวิ่งเท้าเปล่าแน่ แม้กระทั่งการใส่รองเท้าแตะหรือส้นสูงก็อาจจะไม่ใช้ความคิดที่นักนะครับ ระวังถุงน่องที่อาจจะละลายติดเนื้อได้ถ้าเกิดไฟไหม้และมีอุณหภูมิสูลขึ้นในห้องผู้โดยสาร สุดท้าย กางเกงขาสั้นอาจจะไม่สามารถกันความร้อนจากไฟที่กำลังไหม้ได้ จึงควรใส่กางเกงขายาวจะดีกว่า




ชายผู้ไม่พ่ายแพ้ต่อกรรมเก่า (1)



อยากเล่าเรื่องราวของชายสองคน ที่เกิดมาประสบเคราะห์กรรมยิ่งใหญ่ ที่หากเป็นพุทธ ต้องโทษ "กรรมเก่า " ชายคนนึงเกิดมา พร้อมกับความพิการมาแต่กำเนิด ไร้แขน ไร้ขา ทั้งตัว มีแค่ศีรษะ และลำตัว และ เท้าเล็กๆ เหมือนน่องไก่ข้างหนึ่ง ส่วนชายอีกคน ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงในวัย สองขวบเศษ โดนไฟคลอก ไหม้หมดทั้งตัว จนพิการ และเสียโฉม หน้าเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ชายสองคนนี้ ก็สามารถฝ่าชะตากรรม ต่อสู้ชีวิต จนเอาชนะ ความพิการ ความพิการไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตของเขา แต่กลับสร้างพลังให้เขา ออกมาสู้ชีวิตได้อย่างยิ่งใหญ่ เหนือความมหัศจรรย์ และเป็นพลังที่ส่งต่อถ่ายทอดสู่ผู้คนนับแสน นับล้าน ผ่านการพูด ของเขา

จะเล่าเรื่องของ Nick Vogisic ที่ไปคุยที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เมื่อคืนนี้ งานนี้ เป็นงานแบบคริสเตียน ซึ่งหลายๆคนคงไม่ค่อยเห็น เพราะปกติ เวลา Nick พูดในเวทีต่างๆ จะพูดแบบตลกๆ แต่งานนี้ เค้าพูดแบบคริสเตียนแท้ๆ ทำให้รู้ว่า เค้ามีชีวิตผ่านมาถึงวันนี้ ด้วยสองสิ่ง คือ "ศรัทธา" และ "มีความหวัง" หลายๆเรื่องที่อยากจะเล่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ กับคนที่กำลัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ ไม่สบายใจ ไม่ว่าเรื่องใดๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ อารมณ์ เหล่านี้ ไม่ได้ช่วยให้เหตุการณ์ สถานการณ์ใดๆ ดีขึ้น นอกจากทำให้ทุกสิ่งแย่ลง และทำให้ชีวิตของคุณ ยิ่งตกต่ำ และอาจจะไม่ฟื้น

Nick Vogisic เล่าว่า เค้าเป็นเด็กที่เกิดมา ไม่มีแขน ไม่มีขา มาแต่กำเนิด ในขณะที่พี่น้องของเค้าปกติดี เค้าเคยท้อแท้ อับอาย เค้าพยายามหาคำตอบว่า ทำไม เค้าต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ พระเจ้ารักเค้า แต่ทำไม ต้องสร้างเค้ามาแบบนี้ ไ้ด้รับความทุกข์แสนสาหัส เค้ามองไม่เห็นอนาคตตัวเอง ว่าเค้าจะเติบโตเป็นอะไรได้ คนที่มีแต่หัวกับตัว จะหาเลี้ยงครอบครัว มีครอบครัวได้อย่างไร และแก่ไปจะทำอย่างไร ทุกสิ่งดูมืดมน จนเค้าแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่

พ่อแม่ของเค้าเฝ้าแต่ให้กำลังใจ ให้ความรัก ประคับประคองเค้าด้วยความเชื่อมั่น ว่า พระเจ้า ย่อมเตรียมสิ่งที่ดีงาม ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับเค้า การที่ลูกเกิดมาพิการแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในวัย 15 เค้าอ่านพระคัมภีร์ ตอนหนึ่ง ที่ทำให้เค้าสัมผัสได้ว่า เค้าเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เค้าเกิดมาแตกต่างจากคนอื่นมากมาย มีชีวิตที่แสนสาหัส พระเจ้าคงมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้เค้าทำ ความคิดเหล่านี้พลิกชีวิตเค้า ทำให้เค้ามุ่งมั่นที่จะฝึกฝนอะไรหลายๆอย่าง ที่ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะทำได้

การที่คนไม่มีแขน ไม่มีขา จะฝึกฝนทักษะต่างๆ ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีพลังได้เหมือนกับคนปกติ ย่อมลำบากยากเย็นกว่าหลายเท่า เมื่อล้มลง ก็ไม่มีมือ ไม่มีเท้าจะยันกายขึ้น เค้าต้องค้นหาขั้นตอนที่จะทรงตัวขึ้นมาไห้ ด้วยการใช้หัวตัวเอง ค้ำยันตัวขึ้นมา ล้มแล้วลุก เป็นร้อย เป็นพันครั้ง ล้มเหลว แต่ไม่ยอมล้มเลิก จนเค้า สามารถใช้ชีวิตที่เป็นปกติ สามารถเดินทางไปทั่วโลก เพื่อพูดให้กำลังใจคนที่มีความทุกข์ยากลำบากมากมาย จนวันนี้ นับหลายแสนคนแล้ว ที่ได้ฟังการพูดของเค้า และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย ให้มีความเชื่อมั่น มีความศรัทธา และมีความหวัง อย่าให้ข้อด้อย ข้อจำกัด เป็นอุปสรรตในการดำเนินชีวิต สู่เป้าหมายที่วางไว้

ที่สำคัญที่สุด คือ ความรัก ความปรารถนาดีที่มีต่อผู้คน รักและให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่า คนๆนั้นจะทำผิดบาปมากมายเพียงใด ทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม ตามที่เค้าเชื่อว่า นี่คือ พระพร คือภารกิจที่เค้าได้รับมอบหมายมา เพื่อให้เค้าเกิดมาเป็นแบบนี้ และสามารถสร้างปาฎิหารย์ให้คนมากมาย เห็นว่า เมื่อเค้าทำได้ คนอื่นก็ทำได้เช่นกัน




ในวันที่เค้ามาพูดที่หอธรรม โรงเรียน กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย หลายคืนก่อน เค้าคุยเรื่องที่เค้า คิดค้นหาคำตอบ ว่า ทำไมตัวเองถึงเกิดมาไม่มีแขนขา เหมือนคนอื่นเค้า ทำไมพี่น้องพ่อแม่ก็ปกติ คนอื่นปกติ แต่ทำไมเค้าต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ แม้แต่หมอก็ไม่มีคำตอบ มันเป็น "โชคชะตา"

เค้าบอกว่า "ในบางศาสนา ก็โทษเป็นเรื่อง "กรรมเก่า" กรรมเก่าในอดีตชาติ ทำไม่ดีมาก่อน เค้าก็เลยต้องมารับกรรมในชาตินี้ เกิดมาพร้อมกับความพิการ เค้าบอกว่า ฟังแล้ว หดหู่ หมดหวัง ไร้อนาคตมาก... เค้าคิดว่า คงต้องทนทุกข์ทรมารไปจนตาย ไร้ที่พึ่ง ไร้ครอบครัว รับกรรมไป...ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นคำตอบของชีวิต

ชีวิตของคนที่อยู่อย่างทุกข์ทรมาร เผชิญกรรมหลายอย่าง หากคิดว่าเรากำลังรับกรรม เราต้องก้มหน้ารับกรรม คงไม่มีความหวังที่จะต่อสู้ แต่เค้าเลือกที่จะเชื่อว่า เค้าไม่ได้เกิดมารับกรรม แต่เกิดมาเพื่อสร้างปาฎิหารย์ มีภาระกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ ที่รอเค้าอยู่ เค้าจึงเลือกที่จะวางความกลัว และอุปสรรคความยากลำบากทุกอย่าง เพื่อฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่ง เป็นพลังให้ตัวเอง และยังเป็นพลังให้ผู้อื่น

คำว่า "รับกรรม" "ต้องชดใช้กรรมเก่า" บางที มันก็ไม่เวิร์คนะคะ ใครที่กำลังเผชิญ "กรรม" ตอนนี้ ขอให้เชื่อมั่นในปาฎิหารย์ และพลังอันยิ่งใหญ่ที่หลบซ่อนในตัวเรา ดึงมันมาเป็นแรง ให้นำพาเราทะลุกรอบของกรรม ออกไปให้ได้ค่ะ ให้กำลังใจ


เพื่อนสามารถดูการใช้ชีวิต ที่แสนจะเป็นปกติของ Nick ในเพจนี้ค่ะ เค้าตีกอล์ฟได้ ว่ายน้ำได้ และช่วยตัวเองได้ทุกอย่าง  เช่น แปรงฟัน หวีผม ค่ะ

http://acidcow.com/pics/2895-the_story_of_a_strong_man_nick_vujicic_9_pics.html