วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรื่อง หมาขี้เรื้อน

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก

ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว

ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย
เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน


แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง

เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย
ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า

ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา


ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป

ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
โอ้ชีวิต!
ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี
ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน
นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ


อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี
ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง
วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ
ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน
จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา
เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก


อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้
หลวงพ่อเจ้าอาวาส
มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น

และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย

ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย
ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา

แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ
เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน
คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน
เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้
อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม

เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน
สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน
เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า

เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร
สวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย

นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง


นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย
จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอ

เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน
ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย
แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ


ถ้าเรายังเป็น โรค อยู่ในใจ ไม่ พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย
หน้าที่การงานไม่
พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน ไม่ว่าเราย้ายงาน ไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ
สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คน
ไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า
เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้
หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย

ที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/index.php



ขอบคุณเรื่องสนุกๆ แต่กระแทกใจจาก น้าอ้วนเกษตรพอเพียงค่ะ

นิทาน....เรื่องของหินวิเศษกับความเคยชิน...

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือความเชื่อและความเคยชิน

นิทาน....เรื่องของหินวิเศษกับความเคยชิน...

นานมาแล้วได้ยินว่ามีหินวิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง


ถ้า ผู้ใดที่ได้ครอบครอง จะสามารถนำไปแตะกับสิ่งของอะไรก็ได้
สิ่งนั้นจะกลายเป็นทองคำ ทำให้ชายผู้หนึ่งเกิดความสนใจ
อยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นคนร่ำรวยขึ้นมา
จึงตามหาหินก้อนนั้นเป็นการใหญ่

เมื่อตามหาจนถึงชายหาดแห่งหนึ่ง
ซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหินเขาตัดสินใจเก็บหินขึ้นมาดูทีละก้อน
ถ้าก้อนไหนไม่ใช่ ก็จะขว้างมันลงทะเลไป
เขาใช้ความพยายามอยู่นาน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี
ก้อนแล้วก้อนเล่าก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาค้นหาอยู่ดี
และในที่สุดความ พยายามของเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้
เขาได้พบกับหินวิเศษจริง ๆ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไ
เขาก็เผลอขว้างมันลงทะเลไป เหมือนก้อนหินที่ผ่าน ๆ มา
เขาตกใจมากถึงกับรำพันออกมาว่า "ต้องเริ่มต้นใหม่อีกแล้วเหรอเนี่ย"

ในชายหาดนั้นจะมีหินวิเศษชนิดนี้ซักกี่ก้อนกันเชียว
เหตุผลที่ทำให้ชายคนนี้ละทิ้งสิ่งที่เขาค้นหามานาน
ก็คือ "ความเคยชิน" นั่นเอง

บ่อยครั้งที่เราพยายามค้นหาสิ่งที่ต้องการมาตลอดชีวิต
จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่เรามีโอกาสพบมันแล้ว
แต่ด้วยความเคยชินในชีวิตประจำวัน เราก็มองข้ามโอกาสนั้นไป


โอกาสที่อาจจะไม่ปรากฏบ่อยนัก เราจึงต้องมาเริ่มต้นใหม่อยู่ร่ำไป
อย่าคิดแต่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะสิ่งที่มีอยู่คือโอกาส

คัดลอกจาก...
http://forum.thiswomen.com/index.php?PH ... topic=68.0



ขอบคุณคุณน้าอ้วนเกษตรพอเพียง สำหรับข้อมูลที่มีค่านี้ค่ะ

หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดี........จากนิทานสีขาว




ที่เมืองพาราณสีได้มีการจัดงานบวงสรวงครั้งยิ่งใหญ่
ต่อองค์พระศิวะถึง 7 วัน 7 คืน
พระศิวะมหาเทพซึ่งประทับอยู่บนสรวงสวรรค์
ก็ทอดพระเนตรงานครั้งนี้ด้วยความสนพระทัย
จนกระทั่งผ่านไป 3 วันตามวันเวลาบนโลกมนุษย์
พระองค์ก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงเลิกสนพระทัยงานบวงสรวงนั้น

ปาวารตี เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระศิวะ
และกล่าวแสดงความยินดีกับพระศิวะว่า
“ตอนนี้พวกมนุษย์ได้จัดงานบวงสรวงยิ่งใหญ่มอบให้แก่พระองค์
ซึ่งแสดงว่าพระองค์เป็นที่รักและศรัทธายิ่งของมนุษย์ไม่เสื่อมคลาย
ข้าพระองค์เห็นแล้วก็รู้สึกชื่นชมในพระบารมียิ่งนัก”

“อย่าใช้สิ่งที่เจ้าเห็นและคิดเองมาเยินยอข้าเลยปาวตี”
พระศิวะตรัสอย่างไม่ยินดีด้วย

“จริงอยู่ที่มีฝูงชนมากมายถือดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาข้า
แต่พวกเขาไม่ได้มาด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ
บางคนไม่มีความเมตตา บางคนละโมบโลภมาก
และมีหลายคนจิตใจมัวเมาไปด้วยกิเลส
พวกเขามาเพื่อต้องการขอนั่น ขอนี่มากมาย
ซึ่งข้าไม่มีทางยินยอมให้พรของข้า
ตกไปอยู่กับมนุษย์ที่มีจิตใจต่ำอย่างนั้นหรอก”

เทพทั้ง 2 จึงลงมาพิสูจน์ความจริง
โดยพระศิวะได้แปลงกายเป็นชายชราป่วยหนัก
ส่วน เทพปาวารตีก็แปลงกายเป็นหญิงชราผู้เป็นภรรยาชายชรา
ซึ่งที่จริงแล้วคือเทพปาวตี ได้อ้อนวอนขอน้ำจากฝูงชน
ที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า

“ท่านผู้เจริญ ได้โปรดแบ่งอาหารและน้ำให้เราสองผัวเมียบ้างเถิด
สามีข้าป่วยหนักใกล้ตายเพราะอดอาหาร
ส่วนข้ากระหายน้ำจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว”

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินมากับสามีของนาง
และได้สบสายตาอันน่าเวทนาของหญิงชราโดยบังเอิญนางจึงกล่าวว่า

“ข้าให้ของเหล่านี้กับพวกเจ้าไม่ได้หรอก
เพราะข้าต้องนำอาหารรสเลิศ
และน้ำบริสุทธิ์ในคณโทไปถวายองค์พระศิวะ เพื่อให้อำนวยพรแก่ข้า”
หญิงชราส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมกับกล่าวว่า
“แต่ข้าและสามีข้ากำลังจะตายเพราะขาดอาหารและน้ำ
และพระศิวะคงไม่ว่าอะไรกระมัง
ถ้าท่านจะแบ่งของเหล่านั้นให้เราทั้งสองบ้าง
เพราะพระองค์ก็มีของบูชามากมายอยู่แล้ว”

เมื่อสามีได้ยินชาวบ้าน พูดเช่นนั้นก็โกรธมาก
“ชิชะ! เจ้าคนจรจัดโสโครก หากพวกเจ้าได้อาหารชั้นเลิศของข้าไป
ข้าจะได้อะไรตอบแทนจากพวกเจ้าบ้าง
เจ้ามีปัญญาให้พรข้าเหมือนพระศิวะหรือ”

ดูเหมือนว่าคนอื่นๆที่ผ่านไปมา ก็คิดไม่ต่างจากสามีภรรยาคู่นี้เท่าไหร่นัก
แทบทุกคนเห็นว่าชายชราและหญิงชรา
เป็นผู้ทำลายบรรยากาศอันเป็นสิริมงคลอย่างไม่น่าให้อภั
นอกจากพวกเขาไม่แบ่งอาหารหรือน้ำให้สักหยดแล้ว
ยังพากันด่าว่าสองผัวเมียด้วยถ้อยคำหยาบคายด้วย

จนกระทั่งมีชายหนุ่มหน้าตามอมแมมเดินผ่านมา
แต่เขาไม่มีเครื่องบูชามากมายดังเช่นคนอื่นๆ
มีเพียงคณโท ใส่น้ำหนึ่งใบอยู่ในมือเท่านั้น
เมื่อเห็นชายหนุ่มหญิงชราก็อ้อนวอนขอน้ำจากเขา
ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันมามองผู้ชราทั้งสองอย่างน่าเวทนา
“ข้าไม่มีอาหารดีๆ ให้ตากับยายหรอก
มีเพียงน้ำบริสุทธิ์ซึ่งเป็นของดีที่สุดที่ข้าพอจะหามาบูชาแด่พระศิวะได้เท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นตากับยายเอาไปแบ่งกันดื่มเถิด”

“เจ้าไม่เสียดายน้ำนี่รึ เจ้าไม่อยากนำไปถวายพระศิวะ
เพื่อขอพรจากพระองค์หรอกหรือ” ชายชราถามขึ้นมาบ้าง

“ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงก็ใช่ว่าข้าจะเป็นคนดีอะไร
ข้าไม่เคยทำความดี มิหนำซ้ำยังเป็นหัวขโมยที่มักหยิบฉวยของคนอื่นอยู่บ่อย
คนอย่างข้าถึงจะนำของดีเลิศไปถวายพระศิวะ
พระอค์ก็ไม่ทรงเมตตาให้พรแก่ข้า มีแต่จะทรงสาปแช่งข้าด้วยซ้
แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกท่านแล้วเกิดความสงสาร
อยากทำความดีแก่คนอื่นบ้าง”

ทันทีที่น้ำหยดสุดท้ายหมดจากคณโท
ร่างชราของคนทั้งคู่ก็กลับคืนเป็นพระศิวะมหาเทพและเทพปาวารตีดังเดิม
“อย่ากลัวไปเลย ข้าคือศิวะ และนี่คือปาวตี
เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์
ข้ากับปาวตีแปลงกายเป็นชายและหญิงชราเพื่อลองใจมนุษย์ที่ดั้นด้นมาบูชาข้า
และเจ้าทำให้ข้าได้ประจักษ์ชัดว่า ผู้ที่ทำให้ข้าพอใจและสมควรได้รับพรจากข้า
ต้องเป็นผู้ที่มีความดีงามอยู่ในจิตใจ มิใช่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาชั้นยอด
ฝูงชนมากมายมาเพื่อบูชาข้า แต่มีเจ้าเพียงคนเดียวที่สมควรได้ขึ้นสวรรค์
เมื่อใดที่สิ้นอายุขัยของเจ้าแล้วข้ายินดีที่จะรับเจ้าขึ้นบนสรวงสวรรค์”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เกิดความปิติยิ่ง
เขารีบพนมมือขึ้นแล้วกล่าวคำสัญญาต่องค์ศิวะมหาเทพ และเทพปาวตีว่า
“ข้าพระองค์สัญญาว่าจะเป็นคนดีที่คู่ควรกับพรอันประเสริฐของพระองค์
ต่อไปนี้ข้าพระองค์จะเลิกเป็นขโมย เลิกทุจริต เลิกฉ้อโกง
เลิกเอาเปรียบคนอื่นอย่างเด็ดขาด และจะตั้งใจทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ”

เธอทั้งหลาย
• เธอควรทำความดีตลอดเวลาทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น

• สำหรับใครที่ไม่ใช่คนดีก็ไม่เป็นปัญหา
ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่จะเป็นคนดี
ถ้าเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งไม่ดี เธอก็จงหยุดเสีย
ในครั้งแรกๆ เธออาจเกิดความไม่ชอบใจ
ทั้งๆที่เธอก็สู้อุตส่าห์เปลี่ยนแปลงตนเอง
แต่ไม่มีสิ่งตอบแทนกลับมาบ้าง ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครชื่นชม
แต่เธอลองคิดดูเถิด ก่อนที่เธอจะเริ่มความดี
เธอได้ทำความเดือดร้อนไปให้คนอื่นมากเท่าไร
คนที่เจ็บปวดเพราะเธอ เขาย่อมไม่อยากถูกทำร้ายอีก
ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิเสธเอาไว้ก่อน
เป็นเรื่องปกติที่ย่อมเกิดกับคนที่เพิ่งเริ่มทำความดี

• อย่ายอมแพ้ จงมีจุดยืนเป็นของตนเอง และเฝ้าทำความดีตลอดไป
แม้วันนี้ไม่มีใครมองเห็น แต่สักวันอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

• บางครั้งความดีก็ทำยาก แต่เพราะยากเราจึงต้องทำ
เหมือนข้อสอบนั่นอย่างไร ถ้าข้อสอบง่ายเกินไป
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนเข้าสอบเก่งจริงๆ

คัดลอกจาก...นิทานสีขาว โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา