วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (11-จบ)


ในตอนนี้ คิดว่าคงจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว เพราะมีประเด็นอีกเล็กน้อย ที่จะเป็นมุมมองให้เพื่อนๆ เรื่องแผนที่ทางการเงินของชีวิต  ดังที่เคยคุยกันมาก่อน ในตอนแรกๆคือ อุปสรรคสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อการออม การลงทุนของเรา เรื่องนึง คือ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ หรือ การภัยพิบัติต่างๆ  ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นได้ทุกเวลา และ ไม่คาดฝัน  ยิ่งเรามีครอบครัวใหญ่ สมาชิกเยอะ เราก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดเรื่องเหล่านี้   หากเราไม่ได้เตรียมตัว ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้   เราอาจจะมีปัญหาในการออม การลงทุน  เพราะค่ารักษาพยาบาลในแต่ละครั้ง ในสมัยนี้ ใช้เงินจำนวนมาก  

เคยมีการคาดคะเนว่า การรักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าส่วนใด นอกจากต้องใช้เวลา ยังต้องใช้เงินค่ารักษาพยาบาล ไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านบาท  เม้ว่า จะมีการรักษาในรพ.รัฐ ค่าใช้จ่ายก็สูงนับล้านเช่นกัน   การเข้ารพ. คืนนึง ของรพ.เอกชน คืนนึง เฉพาะค่าห้อง ก็ใกล้หมื่นบาท  เวลามีการป่วยเป็นโรค โดยไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน  ครอบครัวจะเสียเงินจำนวนมาก  อาจจะทำให้เงินออมร่อยหรอ   ดังนั้น ในต่างประเทศ  และในสมัยนี้  ผู้ที่มีวิสัยทัศน์ จะไม่ขี้เหนียวในการป้องกันความเสี่ยง  จะซื้อประกัน สุขภาพ  ประกันชีวิต  ประกันภัยต่างๆ  เพื่อให้แน่ใจว่า เวลาเกิดความเสียหายแล้ว  เงินก้อนอื่นๆ ที่เราต้องสะสมไว้ จะไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย     แม้จะต้องเสียเงินเพิ่มในการจ่ายรพ. เวลามีปัญหา แต่จำนวนที่ต้องจ่ายก็จะน้อยลงมาก หากหักจากประกันที่เราซื้อ

ในบางครอบครัว อาจจะมีเป้าหมายในการลงทุนใน  10 ปีข้างหน้า ต้องใช้เงินก้อน เพื่อการศึกษาบุตร แต่เกรงว่าอาจจะเหตุการณ์ที่ทำให้การเก็บเงินสะดุด  ก็จะซื้อประกันไว้  หากเกิดเรื่องร้ายแรง เสียชีวิตระหว่างทาง  บุตรก็มีเงินประกันชีวิตที่พ่อแม่ประกันไว้  เพื่อเรียนต่อโดยไม่สะดุด ดังเจตนารมย์ของพ่อแม่  การลงทุนด้วยการซื้อประกัน อาจจะให้ผลตอบแทนไม่ดี  หากเทียบกับการลงทุนแบบอื่น  แต่ผู้ประกัน ไม่ต้องกังวล  เวลาเกิดปัญหา การลงทุนจะไม่สะดุด  

ดังนั้นแผนการลงทุนของครอบครัวเรา ก็จะเผื่อในส่วนนี้ไว้ ในสัดส่วนที่เหมาะสม  ในยามที่รายได้ไม่สูงมาก  สัดส่วนที่เราซื้อประกัน ก็จะน้อย  เช่น อาจจะมี ความคุ้มครอง เป็นหลักไม่กีแสน  เมื่อเรามีรายได้เพิ่ม เราก็จะปรับซื้อกรมธรรม์เพิ่ม เพื่อให้มีความคุ้มครองที่เพิ่มขึ้น  การซื้อประกัน หากเราซื้อไว้ตอนอายุน้อยๆ เบี้ยจะถูกและซื้อง่าย   หากซื้อตอนอายุมากขึ้น หรือมีโรคแล้ว ก็จะเสียโอกาส เพราะต้องจ่ายเบี้ยแพง และไม่คุ้มครองโรคที่เราเป็นก่อนซื้อประกัน      อย่างไรก็ตาม การซื้อกรมธรรม์ที่มูลค่าสูงเกินไป ทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุน  เพราะการลงทุนด้วยการซื้อความคุ้มครองนี้  ให้ผลตอบแทนที่ต่ำมากเลยค่ะ  แต่มันลดความเสี่ยงที่ไม่คาดฝัน ป้องกันการสูญเสียเงินที่เราสะสมไว้

ปัจจุบัน การประกันก็มีหลายแบบค่ะ  เช่น หากเรากู้เงิน ผ่อนบ้าน  เราก็สามารถซื้อประกันเงินกู้ได้ หากโชคร้าย เรามีปัญหาเสียชีวิต ก่อนจะผ่อนบ้านหมด ประกันก็จะจ่ายแทนเรา  จนครบ เพื่อให้มั่นใจว่า ทายาทของเราจะมีบ้านอยู่ แม้ว่าหัวหน้าครอบครัวจะเสียชีวิต

ก่อนจะจบบทความชุดนี้ ดิฉันอยากขอฝากมุมมองเล็กน้อย   ดิฉันได้ยินจากคำถามมากมายตามรายการวิทยุ คนสมัยนี้จำนวนมาก รู้สึกเบื่อหน่ายการงาน  อยาก Early Retire   หลายๆคนก็อยากมาเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง  แต่การกระทำเช่นนี้ ทำให้เรามีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เงินออมของเราเสียหาย  ดังนั้น การจะลงทุนทำธุรกิจเอง  ต้องมีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญ เพียงพอ  อีกทั้งต้องมีทีมงานที่ดี  และผู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการต้องมีทักษะที่หลากหลาย    นักธุรกิจ SME นั้น มีโอกาสที่จะอยู่รอด เพียง 20%  ที่เหลืออีก 80% มักจะต้องปิดกิจการไปเพราะไม่ประสบความสำเร็จ   ใน 20% ที่รอด  จะมีเพียง 5% ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ที่เหลืออีก  15%  ก็อยู่รอดไปวันๆ พอกิน พอใช้ แต่ไม่โต   ดังนั้น ในโลกปัจจุบัน และในอนาคต  เป็นยุคที่จะหางานได้ยาก  ทั้งคนที่ได้งานทำ  หรือ คนที่จะออกมาทำงานส่วนตัว  ทำธุรกิจ ก็ต้องมีความอึด อดทน  ต้องพัฒนาความสามารถในทุกๆด้าน  คนๆนึง ต้องทำหน้าที่หลากหลาย ทำงานได้หลายตำแแหน่ง   และการจะประสบความสำเร็จทางการเงินได้ ก็ต้องรู้จักการวางแผนทางการเงินที่ดี ประหยัดและอดออม     คนที่คิดจะลาออกมา ทำธุรกิจของตัวเอง หรือจะ Early Retire ต้องคิดทบทวนให้ดีๆ การวางแผนทางเงินที่ผิดพลาด จะทำให้ชีวิตในบั้นปลายมีปัญหาได้  การลงทุนที่ดี ต้องลงทุนต่อเนื่องและยาวนาน อย่างสม่ำเสมอ  การเงินที่ลุ่มๆดอนๆ  มีแต่ค่าใช้จ่าย มีแต่ความเสี่ยงในการเจ๊ง อาจจะทำให้ชีวิตเราหายนะได้ทุกๆด้าน

ในฐานะคนที่เป็นแม่ของลูก  เราคงต้องดูแลอบรมบ่มเพาะลูกให้รอบด้าน และรู้จักใช้สติในการดำรงชีวิต  ไม่ตกเป็นทาสของกระแสสังคมที่ผิดๆ   ซึงการจะฝึกลูกให้เป็นเช่นนั้น เราในฐานะแม่ ก็ต้องมีสติก่อน  มีเหมือนกันที่อาจจะหวั่นไหวไปตามกระแสสังคม เดี๋ยวอย่างส่งลูกเรียนพิเศษโน่นนี่  อะไรที่ใครว่าดี ลูกจะเก่ง จะดี จะเลิศ  เราก็สนใจเหมือนกัน  แต่ต้องมีสติ มาใคร่ครวญทบทวนว่า มันคือความจริง หรือ คำโฆษณาชวนเชื่อ ในฐานะแม่ เราก็อยากหาโรงเรียนที่ดีเลิศ  แต่เราก็ต้องมีสติในการวางแผนว่า โรงเรียนที่ดีเลิศนี้ เหมาะสมกับแผนทางการเงินของครอบครัวหรือไม่   โรงเรียนทุกโรงเรียนย่อมมีความบกพร่อง เราก็เติมส่วนขาดให้เต็มด้วยตัวของเราเอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และให้ลูกได้ฝึกฝน พัฒนาตนเองเรื่องทักษะชีวิต

ไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จในการออม การลงทุน แต่เราต้องรู้สถานะ และข้อจำกัดของเราเอง และเลือกแผนที่เป็นไปได้สำหรับเรา และทำตามเป้าหมายที่วางไว้   ทุกๆอย่างต้องมีก้าวแรกค่ะ คำพูดของเรา เราย่อมอยากให้ศักดิ์สิทธิ์ เช่น เราบอกว่า เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต เราจะร่ำรวย มีความสุข มีครอบครัวที่ดี เราย่อมอยากให้เป็นจริง แต่หากเรารับปากใคร เราบอกว่าเราจะทำแล้วไม่ทำ แปลว่า วาจาเราไ่ม่ศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรแล้วก็ไม่เป็นความจริง ไอ้ที่คิดจะประสบความสำเร็จในชีวิต คิดจะร่ำรวย ก็ลืมได้เลย เพราะพูดอะไร ก็จะไ่ม่เป็นไปตามคำพูดของเรา เด็กสมัยนี้ มีปัญหากันมาก นัดว่าจะมาคุยเรื่องงาน ก็ไม่มาตามนัด ไม่โทรมาแจ้ง นัดอะไรก็ไม่มา หรือสายตลอด ระวังให้ดีๆ ทำแบบนี้ ต่อไป ความร่ำรวย ความสำเร็จก็อาจจะมาสายกว่าที่เราคาดคิด หรืออาจจะไม่มีวันมาถึงก็เป็นได้ พูดคำไหน มันก็ไม่เป็นคำนั้น

ให้กำลังใจทุกท่านนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามอ่าน หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างนะคะ

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (10)


ต่อมาเป็นสูตรสำหรับคนที่กลัวเรื่องความเสี่ยงแบบสุดๆ  เราก็จะไม่ค่อยกล้าลงทุนในกองทุนที่หุ้นที่ผันผวน คงได้แต่เกาะแกะกับพันธบัตรและตราสารนี้   ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำ   คือเพียงปีละ  5.27%  ซึ่งมีความเป็นไปได้  แต่การลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ เราก็ต้องลงทุนเพิ่มขึ้น คือ ปีละ 30,000 บาท และลงทุนเพิ่มปีละ 10%  ไปจนครบ 30 ปี  ในปีที่ 30 เราจะมีเงินรวมประมาณ 100 ล้านบาท




ในเคสต่อมา จะเป็นเคสของคนที่อายุ 30 กว่ามี  มีเวลาทำงานจนถึงเกษียณ ประมาณ  20 ปี ซึ่งเข้าใจว่า เพื่อนๆใน FB จะอยู่ในเคสนี้ เป็นจำนวนมาก  นี่คือสูตรการลงทุน  100 ล้านของเพื่อนๆค่ะ  

สูตรที่ 1



ในสูตรนี้  เรามีเวลาลงทุนเพียง 20 ปี  และเราต้องการมีเงิน 100 ล้านบาทในวัยเกษียณ  เราต้องออมเพิ่มเป็นเดือนละ 40,000 บาท แล้วเราต้องลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทน มากกว่า 11.61% ต่อปี  อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลา 20 ปี    ในสิ้นปีที่ 20 เราจะมีเงิน 100 ล้าน  แต่ถ้าเราออมต่อไป เพราะเรายังทำงานได้อีก หรือ มีรายได้ทางอื่น  เราก็จะมีเงิน 420 ล้าน ในสิ้นปีที่ 30 

จะเห็นว่า เมื่อเรามีเวลาลงทุนเหลือน้อยลง   เราต้องออมหนักขึ้นเรื่อยๆ  และต้องลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อผลตอบแทนที่สูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมือ่เรายิ่งอายุมากขึ้น เราจะมีความสามารถในการเสี่ยงน้อยลง   เพราะเรามีเวลาทำงานสร้างรายได้น้อยลง  การเริ่มต้นออมให้เร็วที่สุด ในวัยที่สามารถทำงานได้  จึงเป็นความจำเป็น

หากเราอยู่ในวัย 40 กว่า ถึง 50  เราอาจจะต้องออมเดือนนึงแสน ถึงสองแสนบาท  และ ควรวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ  ต้องแบ่งการลงทุน เป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว  และ ลงทุนแบบที่ต้องมีความรู้ และเสี่ยงบ้าง ต้องหาจังหวะการลงทุน เพื่อเราจะได้มีโอกาสเข้าใกล้เป้าหมาย 100 ล้านบาทได้  ซึ่งยิ่งจำเป็นที่ต้องหาที่ปรึกษาการลงทุน จัดพอร์ตให้เหมาะสมค่ะ  



จากตารางนี้ เราจะเห็นว่า หากเรามีเวลาในการออมการลงทุนเหลือเพียง 10 ปี  หากเรามีออมเพียง เดือนละ 10,000 หรือ 20,000 บาท หรือ 3-4 หมื่นบาทตามลำดับ  เราต้องลงทุนแบบที่ต้องได้ผลตอบแทนปีละ  50-80%  เลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย หรืออาจจะเป็นไปได้ยากมาก     ดังนั้น เราต้องออมเป็นหลักแสนค่ะ และลงทุนในกองทุนหุ้น แบบเต็มแม็ก  ถึงจะมีโอกาสถึงเป้าหมาย

แต่อาจจะมีกรณีเหมือนกันที่บางคนมีที่ดิน มีทรัพย์สินที่สะสมไว้ ในต้นทุนต่ำ เกิดรถไฟฟ้าตัดผ่าน หรือ เป็นที่บูม ก็สามารถมีรายได้พอกพูนแบบหลายเท่าตัวได้ แล้วแต่จังหวะและโอกาสค่ะ

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (9)


คราวนี้  ก็อาจจะมีคำถามจากเพื่อนๆหลายๆท่าน ว่า  หากเราลงทุนทุกๆเดือน ๆละ  10,000 บาท  และจะเพิ่มทุกๆปี ปีละ 10%  คือ ปีที่สอง ก็จะลงทุนเป็นเดือนละ 11,000 บาท  เราจะไปลงทุนในอะไรดี  รูปนี้น่าจะบอกอะไรบางอย่างได้



ตารางนี้ เป็นตารางการจัดอันดับผลตอบแทน ด้วยการลงทุนแบบต่างๆ  

สีน้ำเงิน เป็นการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

สีแดง เป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

สีเหลือง เป็นการลงทุนในทองคำ

สีฟ้า เป็นการฝากเงิน แบบหนึ่งปี

จะเห็นว่า ตั้งแต่ปี  1999-2011  การฝากเงินในธนาคารให้ผลตอบแทนเป็นอันดับท้ายๆโดยตลอด เป็นอันดับสาม หรืออันดับสี่   ในขณะที่การลงทุนในหุ้น และทองคำนั้น จะให้ผลตอบแทนเป็นอันดับต้นๆ โดยตลอด ยกเว้นบางปี ที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหามากๆ  การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะการลงทุนในหุ้นและทองคำ อาจจะมีผลตอบแทนที่ติดลบ

จากข้อมูลนี้ ก็มีวิธีคิดได้หลายแบบ  เช่น เราควรลงทุนกระจายๆไว้  เพื่อกระจายความเสี่ยง ป้องกันความเสียหาย แต่ผลตอบแทนก็อาจจะต่ำหน่อย  แต่ก็ค่อนข้างมั่นคง   หรือ ในแต่ละปีที่เราลงทุน เราควรศึกษาดีๆว่า ในการลงทุนแต่ละปี เราควรเลือกลงในอะไร  การจัดพอร์ตแต่ละปี อาจจะมีการปรับเปลี่ยน ตามสถานการณ์ของโลก  แม้เราลงทุนเท่าๆกันทุกๆเดือน ทุกๆปี แต่เราต้องเลือกตัวที่จะลงทุนในจังหวะนั้น     หรือ หากเราไม่มีความชำนาญ ก็เลือกกองทุนที่เค้าลงทุนแบบผสมเอาไว้ให้เราแล้วก็ได้ค่ะ

คราวนี้ จะมาถึงประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ คือ ลงทุนอย่างไร ให้ได้ 100 ล้าน   จะมีหลายๆกรณี  หลายสูตรให้เพื่อนๆได้ลองดูว่า เราจะทำได้อย่างไร แค่ไหน  หากเพื่อนๆ ลองนับเวลาจากวันนี้ ถึงวันที่เพื่อนจะเกษียณอายุการทำงาน แล้ว มีเวลาเก็บเงินอีก 30 ปี  เพื่อนๆสามารถลงทุนตามสูตรเหล่านี้ได้ค่ะ

โดยที่เพื่อนๆต้องลงทุนเดือนละ 10,000 บาท และเพิ่มการลงทุนปีละ 10%  ต้องลงทุนต่อเนื่อง 30 ปี   และต้องเลือกลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงมากๆ คือ เฉลี่ย 13.5% ต่อปี  ซึ่งคงต้องเป็นกองทุนหุ้นค่ะ  ในสิ้นปีที่ 30 หากสะสมและลงทุนได้ผลตอบแทนประมาณนี้ เราก็จะมีเงินประมาณ 97.96 ล้านบาท  หากเราโชคดี หุ้นดี  เราก็อาจจะได้ผลตอบแทน ถึง 100 ล้านไม่ยากเลย


ในกรณีที่สอง เป็นแบบตามรูปนี้ค่ะ คือเรามีรายได้มากพอ ซื้อกองทุน LTF RMF ปีละ 240,000 บาท เพื่อลดหย่อนภาษี ซึ่งทำได้ไม่ยากนะคะ เดี๋ยวนี้ เด็กที่ทำงานไม่นาน เพิ่งจบ ได้เงินเดือนสูงพอสมควรเลยทีเดียว ก็ทำสูตรนี้ได้   หรือคนโสด หากไม่ฟุ่มเฟือย ก็สามารถเก็บในรูปแบบนี้



ในรูปนี้ หากเรามีระยะเวลาในการลงทุน 30 ปี คือ มีอายุประมาณ 20 กว่า  ลงตามสูตรนี้ได้เลยค่ะ  เรามีรายได้มากพอที่จะลงทุนเดือนละ  20,000 บาท  และจะเพิ่ม10% ทุกๆปี   เราก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั้งหมด แต่สามารถเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงตำลงหน่อยนึง  คือ พวกกองผสม ที่ลงทุนในหุ้นเยอะหน่อย  แต่มีลงใน   ตราสารหนี้ หรือพันธบัตร  ให้ได้เฉลี่ยผลตอบแทนปีละ 8.61%   ในปีที่ 30  หรือในวันเกษียณ เราก็จะสามารถมีเงินออม เกือบ 100 ล้านเช่นกัน

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (8)


หากเราตั้งเป้าหมายในชีวิตแล้ว  เราจะเห็นว่า ในแต่ละเดือน แต่ละปี เราต้องออมเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในอนาคต ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว   มีคำถามว่า  เราจะออมแบบทีละนิดทีละหน่อย ออมสม่ำเสมอทุกๆเดือนทีละน้อย หรือ ออมแบบเป็นก้อนๆดี   ในอดีต ดิฉันมักจะเข้าลงทุนเป็นรอบๆ โดยดูจังหวะ ราคาหุ้นตกๆ   ราคาทองคำ หรือ น้ำมันร่วงต่ำๆ  พอราคาสูงได้กำไรตามเป้า ก็ขายทำกำไร  "หาค่ากับข้าว" ไปวันๆ ตอนไปฟังสัมมนาเรื่อง เคล็ด(ไม่)ลับ ลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน วิทยากรกล่าวว่า เวลาลงทุน ต้องมีวิสัยทัศน์ และยึดมั่นในเป้าหมาย อย่าใจเสาะ อย่ามองสั้น หวั่นไหวไปตามสถานการณ์ ต้องมีวินัย หากเราตั้งเป็า ว่าเราจะลงทุนแบบนี้ ไปเรื่อยๆ ให้ได้ 100 ล้าน เจอร้อน เจอหนาวก็ต้องฝ่าไป ไม่หวั่นไหว แต่หากคิดว่า พอกำไร ก็จะขาย หาเงินค่ากับข้าว ก็จะได้แค่มีพอซื้อกับข้าวไปวันๆ ไม่มีวันที่จะทำได้ 100 ล้าน พันล้าน อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้... ฟังแล้วสะอึกเหมือนกัน ย้อนถามตัวเองว่า ตัวเองคิดหาค่ากับข้าวไปวันๆ ขายทำกำไร Take Profit เป็นนักลงทุน หรือ เป็นนักเล่นหุ้นกันแน่

ประเด็นคือ นักลงทุนที่ลงทุนในระยะยาว เพื่อเก็บสะสมความมั่งคั่ง แม้ว่าเศรษฐกิจจะผันผวนอย่างไร เค้าก็ไม่หวั่นไหว ลงทุนอย่างต่อเนื่อง  ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้  แม้ว่าจะกำไรก็ไม่ขาย เพราะเค้าต้องการมีเป้าหมายในการใช้ในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้า   การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ ให้ผลตอบแทนที่ดี  นั้น มีปัจจัยหลักๆคือ    จำนวนเงินที่ลงทุน   ระยะเวลา  และอัตราความเสี่ยงและผลตอบแทน   หากลงทุนในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง ไม่สะดุดขายเข้าขายออกกลางคัน เพื่อหาเงินค่ากับข้าว  ผลกำไรที่มันขึ้นหรือลงมันก็จะทบไปเรื่อยๆ 



รูปนี้ จะแสดงอัตราการเติบโตของผลตอบแทน ด้วยการลงทุนด้วยวิธีการต่างๆ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนต่อปีจะเท่ากัน และจำนวนเงินที่ได้จะไม่เท่ากัน  

ในภาพแรก เป็นการลงทุนของด้วยการนำเงิน 1 ล้านบาท ใส่ก้อนเดียว ลงทุนไปเรื่อยๆ เริ่มต้นสิ้นปี 1998 ไปจนถึงปี 2013  ระยะเวลาการลงทุน 1 ล้านบาท ให้ผลตอบแทนเป็นเงิน 2 ล้านบาทในปีที่ 15  

ภาพที่สอง  เป็นการลงทุนโดยแบ่งเป็นเดือนๆ เดือนละ 1 หมื่นบาท ตั้งแต่สิ้นปี 1998 ไปสิ้นสุด ปี 2013 เช่นกัน  ลงทุนรวม 1.5  ล้าน ให้ผลตอบแทนประมาณ 2.4 ล้าน  

ภาพที่สาม เป็นการลงทุนแบบ รายเดือนๆละ  1 หมื่นบาท แล้วมีการลงทุนเพิ่มทุกปีๆละ 10 %  จนสิ้นปี 2013  รวมการลงทุนเป็นเงิน  2.9 ล้าน ให้ผลตอบแทน 4 ล้าน

ในภาพนี้ ผู้ลงทุน ลงทุนในกองทุนผสม ที่มีสัดส่วนการลงทุน ตราสารหนี้ หุ้นและทองคำ ในสัดส่วน  70:20:10  ของบลจ.กรุงศรี ที่ให้ผลตอบแทนที่ผ่านมาเฉลี่ย 5.83%   จะเห็นว่า  การลงทุนแบบรายเดือน  จะทำได้ไม่ยาก เพราะออมที่ละน้อยอย่างมีวินัย  และการที่เราเพิ่มการลงทุนปีละ 10% ตามรายได้ของเราที่เรามักจะมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกๆปี  ก็ยิ่งทำให้ มีโอกาสในการออมสูงขึ้น ผลตอบแทนก็มากขึ้น ดีกว่าการเอาเงินมาลงทีเดียวแล้วถือยาว

แต่กระนั้นเอง  ดิฉันเองก็มีความเห็นว่า หากนำเงิน 1 ล้านบาท  หรือลงทุนรายเดือน ในกองทุนอื่น ที่มีสัดส่วนการลงทุนต่างกัน เช่น ลงในหุ้นอย่างเดียว หรือ ทองคำอย่างเดียว   ในจังหวะที่ดีๆ ก็น่าจะมีผลตอบแทนที่ต่างไปจากนี้   หรือลงผิดจังหวะ ก็ได้ผลต่างกันเช่นกัน  ดังนั้น การลงทุนอะไรก็แล้วแต่ ต้องศึกษาให้ดีๆ  หากเรามีความรู้ไม่พอ ก็อย่าเพิ่งเสี่ยงในกองที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินไป เพราะการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เราต้องคอยระมัดระวัง จังหวะการลงทุนเช่นกัน  แต่หากซื้อกองที่ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ มันก็จะไปเรื่อยๆ  ความผันผวนมีน้อยค่ะ


เพื่อนๆหลายๆคน อาจจะเพิ่งมีความสนใจเรื่องการออม การลงทุนในกองทุนต่างๆ  ดิฉันก็อยากแนะนำแบบกว้างๆดังนี้

  • การลงทุนใน LTF เป็นการลงทุนในหุ้นค่ะ   ส่วน  RMF นี่มีหลากหลายให้เลือกทั้งแบบลงทุนในหุ้น ในทอง ในพันธบัตร ในตราสารหนี้ หรือกองที่ลงทุนผสมหลายๆอย่าง ในสัดส่วนต่างๆ   ซึ่งมีความเสี่ยงต่างกัน  ผลตอบแทนต่างกัน
  • หากต้องการผลตอบแทนสูง  ความเสี่ยงก็สูงค่ะ  หากเราไม่อยากเสี่ยง เราก็เลือกกองที่ให้ผลตอบแทนต่ำ แต่สม่ำเสมอ 
  • ในแต่ละธนาคาร จะมี บลจ. จัดการการกองทุนรวมค่ะ มีเกือบทุกธนาคาร โดยเฉพาะเจ้าใหญ่ๆ มีแน่ๆ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ก็มีบลจ.บัวหลวง  กสิกร ก็มีบลจ.จัดการกองทุนรวมกสิกรไทย  หรือ กรุงศรี ก็มี  ทหารไทยก็มี   และมีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อื่นๆ ที่เชี่ยวชาญ เช่น Aberdeen  TISCO  บลจ.วรรณ  ติดต่อได้ทุกที่    แต่ละที่ก็มีกลยุทธ์ของตัวเอง กองหุ้นเหมือนๆกัน แต่ลงทุนคนละเวลา และคนละตัว ก็ให้ผลตอบแทนที่ต่างกันค่ะ
  • หากเพื่อนๆจะซื้อกองที่ลงทุนในหุ้น ของที่ใดก็แล้วแต่ ก็อาจจะต้องศึกษาดูว่า เค้าลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไหน  หรือในบริษัทอะไร   เพราะนี่ก็มีผลกับความเสี่ยงและผลตอบแทน  บางจังหวะ บางอุตสาหกรรมก็อาจจะมีปัญหา  ทำให้ผลตอบแทนไม่ดี หรือติดลบ  แต่บางจังหวะก็ดีค่ะ  เราจะได้เลือกลงทุนในสิ่งที่เรามีความรู้ หรือเชื่อมั่น
  • การซื้อ RMF หรือ LTF นั้นเพื่อลดหย่อนภาษี มีเงื่อนไขในการลงทุนค่ะ ว่า จะลดหย่อนได้ไม่เกินเท่าไหร่  และต้องถือหน่วยลงทุนไว้ยาวนานแค่ไหน   จึงจะมีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี  ต้องศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนนะคะ
  • หากมีเป้าหมายในชีวิตมาก ทำให้ต้องออมมากกว่าที่ซื้อ LTF  RMF  ก็ให้นำเงินส่วนที่ต้องออมเพิ่มไปลงทุนในกองทุนอื่นๆ ที่เป็นกองทุนไม่ลดหย่อนภาษีค่ะ   ซึ่งมีหลายทางเลือกเช่นกัน  เช่น กองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ กองทุนที่ลงทุนในน้ำมัน กองทุนที่ลงทุนในทองคำ หรือกองผสม และอื่นๆค่ะ  หรือจะออมด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ผ่อนคอนโดให้เช่า ก็แล้วแต่เป้าหมายที่วางไว้  แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะคะ
  • เป้าหมายในการลงทุน จะบรรลุหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า ความสม่ำเสมอ วินัยในการลงทุน  ระยะเวลาที่จะลงทุน และอัตราความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เรารับได้   หากเราออมน้อย  หรือ ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ความเสี่ยงต่ำ  แม้คนสองคน จะออมเท่าๆกันทุกๆเดือน ในระยะเวลาที่เท่าๆกัน  หากเลือกลงทุนต่างกัน ผลลัพธ์ก็ไม่เหมือนกันค่ะ

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (7)


ยังมีอีกหลายประเด็นที่อยากจะพูดถึง  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบทความเรื่องนี้ จะจบลงที่กี่ตอนนะคะ  ต้องขอโทษเพื่อนๆด้วย ที่ไม่สามารถเขียนจบได้ในตอนเดียว  และที่เขียนนี่ก็เป็นแบบขั้นต้นเท่านั้น  เพื่อนๆหาความรู้จากในงานเขียนนี้แล้ว ก็ยังไม่เพียงพอนะคะ ต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วย เพราะที่เขียนนี่ถือว่า เป็นผิวๆ  ไม่ได้เจาะลึกในรายละเอียดหลายๆเรื่อง

เขียนมาถึงจุดนี้ เพื่อนๆหลายๆคนก็คงเห็นแล้วว่า มีกองเงินตกหล่นตามทางชีวิตมากมาย ของเล่นกองมหึมา ที่เพื่อนๆเชื่อว่า จะนำพาชีวิตของลูกรักให้กลายเป็นเด็กอัจฉริยะขั้นเทพ  เด็กเหรียญทองโอลิมปิคในอนาคต หรือ นักดนตรีคีตกวีชื่อก้องอายุน้อยที่สุดในโลก หากเราอดใจนำเงินที่ไปซื้อของเล่นเหล่านั้น ค่าเรียนสารพัดพิเศษ สารพัดติว มาเก็บออมเพื่ออนาคตทางการศึกษาของลูก หรือ ออมให้ลูกเป็นเงินเริ่มต้นอาชีพที่ลูกรัก หรือออมเพื่อสุขภาพและชีวิตในบั้นปลายของเรา เงินเหล่านี้  แค่เดือนละหมื่น เราก็จะสามารถมีความมั่งคั่ง มีอิสระทางการเงินมากพอที่จะเลือกใช้ชีวิตแบบที่เราต้องการได้  แต่หลายๆคนก็ยังอดทำใจไม่ได้  เพราะสันดานซื้อกระจาย หรือเห็นคนอื่นมีอะไรต้องมี  มันยังเกาะลึกในสันดาน  นี่ก็มีวิธีค่ะ

ในสมัยก่อนนั้น เรามักจะได้ยินสูตรการลงทุนว่า  มีเงินเท่าไหร่  ให้ออมไว้ 10%  ที่เหลือก็เอาไปใช่  แต่เดี๋ยวนี้ สูตรนี้ไม่พอเสียแล้ว  เพราะในสมัยก่อนดอกเบี้ยเงินฝาก มีอัตราที่สูงมาก ในขณะที่เงินเฟ้องก็ไม่สูงมากนัก ทำให้ผู้ทีฝากเงินกับธนาคาร แม้ฝากจำนวนไม่มาก แต่ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดีเงินเติบโตเร็ว  ไม่ต้องฝากมากก็มีเงินพอใช้    



จากรูปนี้  อันตราดอกเบี้ยธนาคารต่อปี เป็นเส้นสีเขียว   อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ค่าของเงินเล็กลง เป็นเส้นสีแดง  ในส่วนของพื้นที่สีฟ้า ตืออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง  หรือค่าของเงินที่โตขึ้นในแต่ละปี   จะเห็นว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา  อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาก  ในบางปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเสียอีก  แปลว่า เราฝากเงินธนาคาร แทนที่เงินของเราจะเติบโตขึ้น กลับกลายมีอำนาจในการซื้อลดลง  เพราะถูกอัตราเงินเฟ้อกินไป



จากรูปนี้ เราจะเห็นว่า  หากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเท่าไหร่  มูลค่าเงินของเราก็จะน้อยลงเท่านั้น  หากอัตราเงินเฟ้อ 4% ต่อปี  ค่าของเงิน 4 ล้านบาทในวันนี้ จะลดลงเมีค่าเหลือเพียง 8.22 ล้าน ในอีก  5 ปีข้างหน้า

ดังนั้น สูตรการออม การลงทุนในสมัยนี้ ต้องเปลี่ยนไปจากเดิม  มิฉะนั้น เราจะไม่มีเงินเหลือมากพอที่จะช่วยเหลือตัวเองในยามบั้นปลายของชีวิต   โดยเฉพาะในบั้นปลายชีวิตที่เราไม่มีแรงทำงาน  หากเราไม่หาวิธีให้เงินทำงานให้เรา เราก็จะมีปัญหาได้    การออมในปัจจุบัน จึงต้องเริ่มต้นที่การตั้งเป้าหมายให้แน่ชัด  ว่า  

 - ชีวิตหลังเกษียณ ในยามแก่ชรา เราต้องการเงินใช้เดือนละเท่าไหร่   ซึ่งส่วนมาก เราก็ต้องมองจากค่าใช้จ่ายในปัจจุบันว่า ชีวิตปกติทุกวันนี้ เราใช้เงินเดือนละเท่าไหร่   แม้ตอนที่ไม่มีงานทำ เกษียณอายุ เราก็อยากมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับอย่างเดิม  จะไปปรับชีวิตให้ลำบาก กระเบียด กระเสียนในวัยชรา เราก็คงปรับตัวยาก   ประกอบกับต้องเผื่อค่าซ่อมแซมสุขภาพด้วย  เพราะในวัยชรา เงินที่หามาคงต้องใช้ไปกับการรักษาพยาบาล และอื่นๆ เช่นการทำบุญทำกุศล เป็นต้น

- เป้าหมายเพื่อลูก คนที่มีลูก มีครอบครัว ก็จะมีค่าใช้จ่ายหลักในการศึกษา พัฒนาลูก  ดังนั้น เราต้องวางเป้าหมายว่า เรามีเป้าหมายที่จะส่งเสียบุตร ถึงระดับใด ที่ไหน  หากต้องถึงปริญญาตรี  ปริญญาโท  ใน หรือต่างประเทศ ก็ต้องเขียนไป  คำนวณออกมาเป็นตัวเลข  ว่าปัจจุบัน หากไปเรียน ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เป็นเงินเท่าไหร่  เพราะส่วนนี้ เราก็ต้องแยกการออม การลงทุนออกมา จากเงินเกษียณของเราค่ะ

- เป้าหมายในชีวิตปัจจุบัน เช่น การมีบ้านเป็นของตนเอง  การรักษาพยาบาลที่ดีของคนในครอบครัว การท่องเที่ยว การดูแลพ่อแม่ การมีรถยนต์  ค่าการศึกษาลูกในแต่ละปี ก่อนถึงปริญญาตรี และอื่นๆ 

เป้าหมายแต่ละอย่างที่เราเขียนมานี้  จะเห็นว่า เป้าหมายบางอย่าง เป็นเป้าหมายระยะยาว 10 กว่า 20 ปี  นับจากวันนี้ ถึงวันที่เราเกษียณ ปกติ คือ 55 ปี      แต่เป้าหมายบางอย่างก็เป็นระยะสั้น ไม่กี่ปี หรือไม่กีเดือน   ซึ่งการเก็บเงิน การลงทุนสำหรับเป้าหมายเหล่านี้ ก็ควรแยกกัน และลงทุนแบบที่แตกต่างกัน ไป  บางอย่างเราต้องถือยาวๆ  ก็สามารถลงทุนในแบบที่มีรูปแบบผลตอบแทนสูงได้ แม้มีความเสี่ยงสูง    บางอย่างเราต้องลงทุนแบบสั้น เพราะเราจะต้องนำมาใช้ในระยะเวลาไม่นาน   เรื่องนี้ อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ไปปรึกษา  ที่ปรึกษาด้านการลงทุน ที่เดี๋ยวนี้ ในธนาคารต่างๆ จะมี บลจ.ที่ขายกองทุนรวมต่างๆอยู่ข้างใน  เดี๋ยวเค้าจะมีบริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนค่ะ  ซึ่งจะให้คำปรึกษาการลงทุนเฉพาะบุคคล   เราสามารถไปหารือได้ ไม่ว่าเราจะมีเงินมากหรือน้อยก็ตาม  อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ที่เขียนในนี้ เป็นแค่สรุปคร่าวๆ  ไม่สามารถลงรายละเอียดที่ลึกได้ เพราะแต่ละครอบครัวมีความจำเป็น ที่แตกต่างกันค่ะ  

แต่โดยสรุปในประเด็นนี้ก็คือ  เมื่อเราสรุปได้แล้วว่า เรามีเป้าหมายในชีวิต ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวอย่างไร   และได้ปรึกษากับที่ปรึกษาแล้ว  เราก็จะรู้ว่า เราต้องใช้เงินในการออมแต่ละเดือน หรือแต่ละปี จำนวนเท่าไหร่   เราก็เอาเงินจำนวนนี้ ลบออกจากรายได้   จึงจะเห็นว่า เรามีเงินที่จะนำมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ดำรงชีวิตนี่ เหลือเดือนละเท่าไหร่

เช่น

มีรายได้เดือน ละ 50,000 บาท  แต่มีเป้าหมายที่ต้องออม 30,000 บาท   จะสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ในแต่ละเดือน 20,000 บาท  เงิน 30,000 บาทนี้ นำมาออมและลงทุนก่อน เป็นสิ่งแรก  จะเห็นว่า การออมจะไม่ได้เป็นแค่ 10%  เหมือนอดีต แต่ออมถึง 60% ทีเดียว  

ห้ามคิดแบบใช้เท่าไหร่  เหลือเท่าไหร่ก็ค่อยมาเก็บ  แบบนี้จะอันตรายมาก  เป้าหมายที่คุณวางไว้ ใฝ่ฝันไว้จะยากมากที่จะเป็นจริง ยกเว้นคุณถูกหวยรางวัลที่หนึ่งติดๆกันหลายๆงวด    แล้วคุณจะโทษโชคชะตาฟ้าลิขิตไม่ได้ ที่ทำให้คุณไม่มีโอกาสมีความมั่งคั่ง เพราะเราไม่สามารถมีวินัยในการทำตามแผนการชีวิตที่เราวางไว้ได้ 

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (6)



ย้อนกลับมาที่รูปด้านบน  มีหลายๆคน อาจจะกังวลว่า เราอาจจะไม่มีเงินเหลือพอ ในการลงทุนแม้แต่อย่างเดียว  จะให้ลงทุนกระจัดกระจาย ยิ่งทำไม่ได้   แต่อยากแนะนำว่า ให้เริ่มต้นจากสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันก่อน  ยกตัวอย่างเช่น คนเราทุกคน ต้องมีที่อยู่อาศัย  หากเราไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของเราเอง เราก็ต้องเช่าคนอื่นอยู่ ค่าเช่านี่ เป็นค่าใช้จ่ายค่ะ  หากเราเปลี่ยนจากการเช่า มาเป็นการซื้อคอนโด  ผ่อนเอา  ก็ถือว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เมื่อเราอดทนผ่อนไปเรื่อยๆ จนครบทรัพย์สินนี้ก็เป็นของเรา และมูลค่าก็เพิ่มขึ้น  มิได้ด้อยค่าลงเหมือนรถยนต์  ต่อไป หากเรามีโอกาสขยับขยาย  เราอาจจะสามารถขายต่อ หรือปล่อยเช่า เป็นการเพิ่มพูนรายได้อีกประการหนึ่ง   แต่อาจจะมีนักลงทุนบางคน นิยมซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อการลงทุน  ก็ต้องศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะอสังหาริมทรัพย์นั้น บางทีก็ขายยากค่ะ ต้องใช้เวลาในการขายไม่ค่อยมีสภาพคล่อง  ยกเว้นที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ในทำเล ที่เหมาะสม เป็นที่นิยม ก็จะมีโอกาสในการทำรายได้ ทำกำไรได้สูง  

การลงทุนในส่วนที่สอง ที่เราทุกคน ทำได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  คือการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี  LTF  RMF  และการซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งเราสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ไม่เกิน 100,000 บาท   เพื่อนๆหลายๆคน ก็อาจจะรู้จักวิธีการนี้เป็นอย่างดี  แต่สำหรับคนทำงานใหม่  หรือ คนที่ไม่เคยคิดจะซื้อ เพราะคิดว่า ต้องใช้เงินก้อน ลงทุนหลายๆปี เอาออกมาไม่ได้จนกว่าครบกำหนด   ก็ควรคิดเสียใหม่ค่ะ     การขอลดหย่อนภาษีที่เราเสียไป ไม่ใชเป็นเรื่องน่าอาย หรือเอาเปรียบคนยากจน เหมือนคนโกงภาษี รวยแล้วโกงแต่อย่างใด    แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามผลักดัน  เพราะเป็นการผ่อนภาระ การดูแลประชาชนในอนาคต   สังคมไทยในปัจจุบัน กำลังกลายเป็นสังคมของผู้สูงอายุ  อัตราการเกิดต่ำ และคนวัยทำงาน ก็ร่วงโรยเป็นวัยชรา   ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้ ประเทศชาติ ต้องแบกภาระดูแลคนแก่จำนวนมาก  ทั้งด้านการรักษาพยาบาล  เงินสงเคราะห์คนชราก็ต้องมีมากขึ้น มิฉะนั้น คนชราจะอยู่อย่างยากลำบาก  ดังนั้น การกระตุ้นให้ประชาชน มีเงินออม จนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในวัยเกษียณเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องรีบทำ    ดังนั้น จึงเกิดสารพัดโครงการเพื่อลดหย่อนภาษี  เพื่อให้ประชาชน นำเงินไปออมให้มากขึ้น     การออมจึงเป็นหน้าที่สำคัญของคนไทยทุกคน ต้องทำ และต้องเร่งทำค่ะ   เมื่อมีการออมและลงทุน ในรูปแบบของกองทุน RMF  LTF หรือ ประกันชีวิตแบบบำนาญ  เงินตัวนี้ ก็จะกลายเป็นการลงทุนอีกส่วนนึงที่เรามีโดยอัตโนมัติ

การลงทุนในส่วนที่สามนั้น เราก็ทำได้ไม่ยากอีกเช่นกัน  ในสมัยที่ดิฉันอายุน้อยๆ  ดิฉันเป็นคนเก็บเงินไม่เป็น  เป็นตนมีเงินไม่ได้เหมือนกัน จะต้องรีบกำจัดมันออกไปจากกระเป๋า  แต่โชคดีที่ดิฉันเป็นคนชอบทองคำ  ดิฉันมักเอาเงินไปซื้อทองคำเส้นเล็ก เส้นน้อยมาใส่  เวลาโบนัสออก ดิฉันจะให้รางวัลชีวิตกับตัวเองด้วยการซื้อทองสวยๆแบบที่ชอบมาใส่   เวลาผ่านไปหลายปี  ดิฉันไม่มีเงินเหลือเก็บ แต่มีทองคำที่ซื้อไว้ โน่นที นี่ที  ราคาของทองคำที่ซื้อ ก็ไม่เคยด้อยค่าลง มีแต่สูงขึ้น  แม้ในช่วงที่ขาดเงิน ดิฉันก็ไม่ยอมเสียทองคำแม้แต่เส้นเดียว   จึงกลายเป็นการลงทุนอีกส่วนนึงที่เรามีใน Port การลงทุนของเรา  ข้อดีของทองคำ ก็คือ มีสภาพคล่องสูง  และไม่ค่อยด้อยค่า บางปีการลงทุนในทองคำ ก็มีราคาขึ้นลงที่หวือหวา ให้ผลตอบแทนที่เอาชนะการลงทุนประเภทอื่น  แต่ในหลายๆปี ราคาก็ทรงๆ นิ่งๆเอาแน่เอานอนไม่ได้  แต่อย่างไรก็ตาม  ก็ถือว่าเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดีในความรู้สึกส่วนตัวของดิฉันนะคะ

อย่างไรก็ตาม คนที่เพิ่งลงทุนใหม่ๆ  กำลังเริ่มศึกษา และเพิ่งเริ่มต้น ควรมีความพอเพียง และระมัดระวังในการลงทุน  ดังนั้น โดยส่วนตัว ดิฉันอยากแนะนำให้ลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ  แม้ผลตอบแทนไม่มาก   เมื่อสะสมความมั่งคั่งได้จุดนึง  มีทุนรองรังที่ปลอดภัยพอสมควร  จึงค่อยๆเพิ่มการลงทุนในส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูง มีความเสี่ยงสูง   ในครอบครัวของเรา ของเราก็เช่นกัน ในอดีตดิฉันและสามีก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการลงทุนมากนัก  แต่เดิมสามีก็เริ่มต้นด้วยการฝากเงินธนาคาร เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แม้ผลตอบแทนจะต่ำ  เมื่อเก็บเงินได้ จึงมาซื้อที่ดินเพื่อเตรียมปลูกเรือนหอของเรา  ต่อมาเมื่อไม่ได้สร้างเรือนหอ ก็ตัดสินใจมาผ่อนคอนโด  นี่คือจุดเริ่มต้นของการออมของครอบครัวของเรา ในเวลานั้น เราเองก็เริ่มศึกษาเรื่องกองทุนลดหย่อนภาษีต่างๆ  แม้ว่าจะยังผ่อนคอนโดของเรา แต่เราก็ยังแบ่งเงินอีกส่วนเพื่อมาซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี ทั้ง RMF และ LTF   โดยในกอง RMF เราจะไม่กล้าเสี่ยงมาก จึงเลือกซื้อกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้  ส่วนกองทุน LTF นั้น ลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว   ตลอดระยะเวลา 6 ปี สามีเป็นคนที่มีวินัยทางการเงินค่ะ  ประคับประคองวางแผนทางการเงิน จนชำระหนี้คอนโดได้หมด และ เมื่อเรามาศึกษาผลของการลงทุน ใน LTF RMF ที่ผ่านมา  ผลก็เป็นที่น่าพอใจ   กล่าวคือ กองทุน RMF ที่ลงทุนในพันธบัตร และตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่ไม่สูงนัก  ในขณะที่กอง LTF ให้ผลตอบแทนในบางปีติดลบก็มีค่ะ แต่โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนสูงกว่า  และการลงทุนที่ทำอย่างต่อเนื่องทุกปี อย่างมีวินัย ทำให้ฐานะทางการเงิน ปลอดภัย ณ ระดับนึง  ดังนั้น ดิฉันจึงเปลี่ยนแผนการลงทุนให้มีสัดส่วนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เพื่อโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น

ที่เล่านี่ เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ในการเริ่มต้นของครอบครัวเรา ที่เราได้ทำมาแล้วกว่า หกปี  ซึ่งก็คงไม่ต่างกับเพื่อนๆหลายๆท่านใน FB นี้ ที่อยากเริ่มต้น  ลองใช้เป็นไอเดียในการปรับแผนชีวิต เผื่อว่าจะได้มีก้าวแรกแห่งการออม เพื่ออนาคตวัยเกษียณได้นะคะ

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (5)


เขียนมาถึงประเด็นนี้ เพื่อนๆคงพอมองเห็นว่า เงินออมเพื่ออนาคตของเพื่อนๆ ผปค.ทั้งหลายนั้น กระเด็นกระดอนไปทางไหนบ้าง  และเชื่อว่า ยังมีตกหล่นอีกมากมายนะคะ ลองเอาไม้กวาดๆๆดู ตามซอกหลืบของชีวิต    คราวนี้ ดิฉันจะลงรายละเอียดเรื่องของการออมการลงทุนที่เราจะสามารถสร้างผลต่างให้กับชีวิตของเรา   ชีวิตของเราจะเป็นเช่นใรในอนาคต อยู่ที่เราเลือก!!

การที่คนเราจะประสบความสำเร็จทางการเงินมากหรือน้อยเพียงใด  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หรือ ระดับความรู้ หรือ แม้แต่การเกิดมาร่ำรวยหรือยากจนเพียงใด  ในอดีตนั้นเรามีผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงินมากมาย เกิดมายากจน เป็นคนจีนเสื่อผืนหมอนใบ ทำงานจับกังก็มี แต่มีความอดทน มานะอุตสาหะ อดออม เก็บเล็กประสบน้อย  และมีวิสัยทัศน์ในการลงทุน  เมื่อจังหวะดี สิ่งที่ลงทุนไว้เล็กๆน้อย งอกเงยให้ผลตอบแทนมากมาย ก็มีมากมายหลายตัวอย่างให้เห็น  



จากรูปที่โหลดให้ชมกัน คือ ตารางที่แสดงให้เห็นว่า คนที่รวยๆกันทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทยนั้น จะมีเทคนิคการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ได้ใส่ไข่ทั้งหมดลงในตะกร้าใบเดียว  แต่จะเก็บไว้ในหลายๆรูปแบบ ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง และไม่ได้แห่ตามคนอื่น แต่จะลงทุนในจังหวะที่ดี คือ ต้นทุนเหมาะสม    โดยจะซื้อทั้งที่ดินและอสังหาริมทรัพย์  เก็บออมในรูปของเงินฝาก  เก็บออมในรูปของหุ้นและกองทุนต่างๆ  และการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่นเครื่องเพชร  ของโบราณ รูปภาพงานศิลปะ ไวน์ นาฬิกาดีๆ และอื่นๆ   

และหากดูจะเห็นว่า สัดส่วนของการลงทุนในแต่ละปี จะมีการเปลี่ยนแปลง  ในบางปี จะมีการลงทุนในรูปแบบอสังหาริมทรัพย์เยอะ ในบางปีจะออมในรูปเงินฝากมากหน่อย  แปลว่า สัดส่วนการลงทุนนั้น ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงสัดส่วนตลอดเวลา แล้วแต่สถานการณ์ ความเสี่ยง ปัจจัยภายนอกที่มากระทบ  ดังที่แสดงไว้ในรูปที่สอง

ส่วนในรูปที่สามนั้น แสดงถึงรูปแบบการลงทุนที่เราควรปรับเปลี่ยนในสถานการณ์ต่างๆ  เช่นในยามที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว  การลงทุนในหุ้น จะเป็นโอกาสที่ทำให้เงินงอกเงย  เพราะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว มีความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจจะประสบปัญหา  ก็จะมีการโยกย้ายการลงทุนไปที่พันธบัตรและตราสารหนี้ ที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนต่ำ

ดังนั้นเคล็ด (ไม่)ลับของการลงทุนข้อนึง ก็คือ ต้องมีการลงทุนที่กระจาย ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม  เราต้องคอยศึกษาจับตามองปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น และปรับเปลี่ยน โยกย้ายรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและผลตอบแทน  แต่ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร  เราตั้งเป้าหมายจะลงทุนเท่าไหร่  เราต้องรักษาคำพูดของเรา ทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้  ไม่ย่อท้อและต้องมีวินัยทางการเงินค่ะ  

เดี๋ยวมาต่อ

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (4)


เท่าที่ได้สังเกตพบเห็นจากชีวิตของคนในสังคมในตอนนี้ รวมกับชีวิตที่ผ่านมาในอดีตสิบกว่าปีก่อนของตัวเอง คนสมัยนี้มีปัญหาในการมีเงินเหลิอเก็บค่อนข้างมาก    ไม่ว่าทำงานได้ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น เงินเดือนมากขึ้น แต่ทำอย่างไร เงินเดือนก็ไม่พอใช้   มองไปรอบๆตัวมีแต่สิ่งเร้าใจ   ทั้งไอโฟนรุ่นใหม่  ไอแพ็ด สมาร์ทโฟนสารพัดรุ่น รถหน้าตาน่ารัก  สารพัดโปรโมชั่นของรัฐบาล  บ้านหลังแรก  รถคันแรก ยังโชคดีที่ไม่มีโปรโมชั่น เมีนคนแรกด้วย  จากการรายงานยอดผู้ใช้บริการมือถือโดยนับเฉพาะผู้ให้บริการหลักทั้ง 3 รายใหญ่ของประเทศไทยได้แก่ AIS, dtac และ TrueMove พบว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2011 นั้นยอดผู้ใช้งานรวมทั้งสิ้น 75.35 ล้านราย ในเมืองไทย มีประชากร จำนวน 60 กว่าล้านคน  แต่ยอดผู้ใช้มือถือ 75 ล้านราย  เฉลี่ยคนนึงมีโทรศัพท์มือถือหลายเครื่องทีเดียว  มานั่งคำนวณค่าใช้จ่ายหลักที่เราต้องใช้จ่ายแค่เรื่องการสื่อสารนี่ เดือนนึงหลายพันบาท

ดิฉันเคยไปเป็นวิทยากรพิเศษในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาหลายแห่ง พบกว่า ทุกปี นักศึกษามีรถยนต์ส่วนตัวใช้มากขึ้นเรื่อยๆ  พ่อแม่จำนวนมากก็ซื้อรถยนต์ให้ลูกใช้ เพือความสะดวกในการเดินทาง  เด็กๆที่เรียนจบออกมาทำงาน สิ่งแรกที่คนทำงานอยากได้ คือ รถยนต์ เพื่อให้สะดวกสบายในการเดินทาง  ดิฉันเคยคำนวณตัวเลขคร่าว กับคุณพ่อ สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราเคยคุยกันว่า การมีรถยนต์คันนึงนั้น มีค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นสูงมาก  ทั้งค่าเสื่อมราคาของรถยนต์  ค่าประกันภัย ค่าซ่อม ต่าน้ำมัน  ค่าของความสะดวกสบายในชีวิต ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นปีนึงๆ เป็นแสนบาท  ยิ่งรถยี่ห้อหรู โดนหักค่าเสื่อมปีหนึ่งๆ หลายแสนบาททีเดียว   สำหรับคนทำงาน ดิฉันเองก็เข้าใจ เพราะอาชีพหรือตำแหน่งหน้าที่การงานบางอย่างนั้น อาจจะต้องใช้รถในการทำงาน  ซึ่งสามารถเบิกค่าน้ำมัน ค่าเดินทางได้  และเป็นการช่วยให้การทำงาน ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ  แต่สำหรับการให้ลูกมีรถยนต์ มีมือถือใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกนั้น  เป็นเรื่องที่น่าจะทบทวนให้ดีๆ   เงินจำนวนนี้ รวมเป็นเงิน เฉลี่ยเดือนๆก็เป็นหมื่นกว่าบาทเหมือนกัน    หากมาลงทุนกันในสูตรที่ว่ากันไว้  คือ นำเงินเหล่านี้ไปลงทุนทุกๆเดือน เดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา  5 ปี  เงินจำนวนวนนี้ก็เป็นมีมูลค่าเกือบล้านบาท   ใน 30 ปี ก็จะกลายเป็นเงิน 80 กว่าล้านเช่นกัน  

จะเห็นว่า มีหลายๆวิธีที่เราจะสามารถเริ่มต้นมีเงินออมได้  โดยที่เราไม่ต้องทำงานเพิ่ม เพียงแต่ใช่สติปัญญาในการพิจารณารายจ่ายที่ไม่จำเป็น  ปรับเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิด และการใช้ชีวิตเท่านั้น   เช่น แทนที่จะซื้อรถให้ลูกไปซิ่ง ก็อาจจะพิจารณาซื้อคอนโดใกล้มหาวิทยาลัย หรือในที่ๆเดินทางสะดวก    อาจจะต้องใช้เงินจำนวนใกล้เคียงกัน  แต่ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ เป็นการลงทุน  ราคาสินทรัพย์ มีแต่เพิ่มขึ้น  แต่การซื้อรถยนต์ มีแต่ราคาตก  ซื้อรถวันนี้ ขายพรุ่งนี้ ก็ไม่สามารถขายได้ในราคาที่ซื้อมาได้ เพราะถือว่าเป็นของมือสอง ราคาตกไปเรียบร้อยแล้ว    และการฝึกลูกให้มีความอดทน  ตอนที่ไปเรียนในระดับมัธยม ก็มีความสามารถในการเดินทางด้วยรถเมล์  รถประจำทาง  พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ควรที่จะมีความสามารถในการดูแลตัวเองได้ดีขึ้น   เพราะพอออกไปทำงาน ก็ต้องเจอหนักขึ้นเรื่อยๆ   ต้องฝึกรับผิดชอบกับหน้าที่การงานที่สูงขึ้น  ดังนั้น การฝึกให้ลูกรู้จักสู้ชีวิต  เป็นเรื่องจำเป็นค่ะ

การที่เราจะสามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อหาทางเงินทองที่เราทำตกหล่นไว้   ควรเริ่มต้นที่การจดบันทึกค่าใช้จ่ายที่เรามีในแต่ละวัน แต่ละเดือน  มีหลักๆที่เราต้องจดคือ

1) รายรับ : ทั้งหมดที่เป็นรายรับ ทั้งเงินเดือน ค่าล่วงเวลา รายได้จากค่าเช่า รายได้จากการขายทรัพย์สิน  รายได้อื่นๆ เช่น การคืนภาษี รางวัล มรดก และอื่นๆที่เป็นรายรับ

2) รายจ่ายคงที่ เช่น ค่าเบี้ยประกัน ค่าผ่อนบ้าน ค่าเช่าบ้าน ต่าเล่าเรียนลูก และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เราต้องจ่ายทุกปี ทุกเดือน 

3) รายจ่ายผันแปร  เช่น  ค่าไอโฟน5  ค่าหมอ ค่ายา ค่าโรงพยาบาลของเรา หรือ พ่อแม่ที่เราดูแล ค่าโน๊ตบุ๊ตตัวใหม่  ต่าแหวนเพชร ค่าทำผม  ค่าโรงแรม ค่าตั๋วเครือ่งบิน   หรือ รายจ่ายใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยอาจจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว   

4)  รายจ่ายเพื่อการออม เช่น การซื้อกองทุนประหยัดภาษี   เบี้ยประกันสุขภาพ เบี้ยประกันชีวิต และ  ประกันสังคม  กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และอื่นๆ

การจดบันทึกลงมาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างละเอียด และตรงไปตรงมา จะเป็นกระจกเงา ให้เราเห็นจุดอ่อนในการใช้จ่ายของเรา   จะเห็นว่า รายจ่ายบางอย่างเป็นรายจ่ายที่ไม่คาดฝัน แต่หลีกเลี่ยงได้ยาก  แต่รายจ่ายบางอย่างเราสามารถเลื่อน หรือ ตัดทอน หรือ บริหารจัดการอย่างอื่นให้มีประสิทธิภาพได้

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (3)


อ่านมาถึงตอนนี้ พ่อแม่หลายๆคนอาจจะสะท้อนใจ  เพราะตอนที่เลือกโรงเรียนให้ลูก ก็มักจะสอบถาม ดูจากเทรนด์ "เค้าว่ากันว่า...อันนี้ดี  โรงเรียนนั้นดี  เด็กสมัยนี้ต้องรอบด้าน..."   เห็นหลายๆๆๆครอบครัว จัดตารางติว ตารางเรียนพิเศษของลูกแน่นเอี๊ยด ตั้งแต่เช้าจรดเย็น สุดสัปดาห์เสาร์ อาทิตย์  แถมปิดเทอมด้วย  เฉลี่ยชม.ละ 500 บาท  เรียนกันเดือนนึง 20-30 ชม. ค่าเรียนพิเศษของลูกปีนึง 2 แสนบาท  แม้เด็กจะไม่อยากเรียน ไม่สนุกที่จะเรียน อยากเลิกเรียน แต่พ่อแม่เสียดาย ลงทุนมาแล้วหลายเดือน หลายปี ไม่อยากให้ลูกทิ้งกลางคัน  กัดฟันทั้งผลักทั้งดันลูกไปเรียนให้สำเร็จ    ตอนลูกโต พนักงานหลายคน มีความสามารถทั้งดนตรี กีฬา ทั้งเต้น ทั้งร้อง แต่ทำงานไม่เป็น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ เพราะเวลาตั้งแต่เล็กจนโต  หมดไปกับเรียนทักษะพิเศษสารพัด แต่ไม่เคยได้ฝึกช่วยตัวเอง ไม่มีทักษะการทำงาน ไม่มีทักษะการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์  ไม่อดทน และหลายๆคน ไม่มีทักษะการสื่อสาร พูดไม่เป็น เขียนก็ไม่เก่ง  แม้กระทั่ง จดหมาย อีเมลล์ ก็เขียนถูกๆผิดๆ สื่อสารไม่รู้เรื่อง    เพราะการที่เราคาดหวังจะให้ลูกประสบความสำเร็จ  มีความเพียบพร้อมนั้น มิใช่ว่าต้องใช้เงินในการซื้อความสำเร็จเพียงอย่างเดียว  แต่ต้องอาศัยเวลาของพ่อแม่ในการอบรมบ่มเพาะ เปิดโอกาส ให้เวลาฝึกฝนให้เด็กได้ลงมือทำเอง ช่วยเหลือตนเองและต่อครอบครัว ต่อสังคม รับผิดชอบชีวิตตนเองในชีวิตประจำวัน   แก้ปัญหาด้วยตนเอง

หากเราจัดเวลาให้เด็กได้มีโอกาสอยู่บ้าน ฝึกฝนการทำงานบ้าน ทำกับข้าง  จัดบ้าน ช่วยงานอืนๆ  เราจะสามารถออมเงินปีนึงก็เป็นหลักหมื่น หลักแสนเหมือนกัน  โดยไม่ต้องทำอะไรเลย   เงินจำนวนนี้ นำมาลงทุนเป็นรายเดือนให้ลูก ตามสูตรที่จะให้ต่อไป  คือเดือนละ 10,000  บาท    ในสิ้นปีที่ 5  เงินก้อนนี้ จะมีจำนวน ประมาณ 9 แสนกว่าบาท เกือบล้านทีเดียว    และหากออมต่อไป 10 ปี  15 ปี ออมลักษณะนี้ไป  เงินก้อนนี้ ก็จะมาพอที่เป็นทุนการศึกษาของลูกในระดับสูงในต่างประเทศได้   มีการคำนวณว่า ในปีที่ 30 เงินจำนวนนี้ จะเติบโต เป็นเงินจำนวน 80 กว่าล้านบาท  ลองนึกดูในวัยที่ลูกๆเติบโต  แต่งงาน  เราสามารถให้เช็ตของขวัญ เป็นเงินเริ่มต้นชีวิตของลูก จำนวน 80 ล้านบาท  เป็นเงินออมจากการที่เราไม่หลงไปกับ คำโฆษณาของเหล่าปัญญาพาณิชย์   ลูกคงไม่เสียใจหรอกค่ะ ที่เต้นบัลเล่ต์ไม่เป็น   ร้องเพลงไม่เก่ง  หรือ ไม่ได้เป็นแชมป็เหรียญทองโอลิมปิค   เงิน 80 ล้านในวันนั้น หากลูกบริหารเงินเป็น ก็สามารถทำให้ลูกเป็นอะไรก็ได้  สามารถช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติ หรือ เลือกทำอะไรที่เค้าปรารถนาได้    เด็กที่ได้รับการดูแลอย่างดี  ฝึกมาอย่างดีในการช่วยเหลือตนเองรอบด้านในชีวิตประจำวัน  ช่วยสังคม เป็น Self Leaner เค้าคงไม่เหมือนเด็กทีถูกประคบประหงม เลี้ยงมาอย่างอ่อนเอ  อย่างน้อยๆ เค้าก็ถูกฝึกมาอย่างแข็งแกร่ง และสามารถสู้โลกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งยาชูกำลัง คือ โรงเรียนกวดวิชา

แต่สูตรนี้ก็ไม่ว่ากัน สำหรับผู้ที่คิดว่า วางแผนการเงินได้ลงตัว  เพราะชีวิตคนเรานั้น มีความแตกต่าง ไม่มีใครจำเป็นต้องเอาเยี่ยงอย่างใคร  เพียงแต่ขอให้วางแผนชีวิตให้เหมาะสม อย่าได้เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง  ชีวิตต้องมองยาว  ไม่ใช่มองแต่วันพรุ่งนี้ คิดว่าอีกไม่กี่เดือนโลกก็จะแตกแล้ว  อีกไม่กี่วันน้ำก็จะท่วมแล้ว   ดังนั้น ใช้ชีวิตอย่างรอคอยวันสุดท้าย ทั้งๆที่ชีวิตยังไม่ทันเริ่มต้น  คงไม่ใช่วิธีคิดที่ดี  หากเราเกิดโชคดี มีชีวิตที่ยืนยาวถึง 80-90 ปี  เราคงไม่อยากลงเอย เป็นคนชราอนาถาในบ้านพักคนชรา อย่างน้อย เชื่อว่า เราทุกคนก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่สร้างคุณค่าให้กับสังคม  สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น  ไม่เป็นภาระกับผู้อื่น  สามารถช่วยหลือตนเอง และมีพลังพอเพื่อสังคม จนวาระสุดท้าย  ทุกสิ่งที่เราปรารถนา เป็นจริงได้  ก็เมื่อเราวางแผนที่ถูกต้องเหมาะสม  และ ลงมือทำเท่านั้น

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (2)


เขียนมาถึงจุดนี้  คนๆหลายๆคน อาจจะยิ่งหดหู่ หลายๆคนมองไม่เห็นหนทางว่าจะเก็บเงินได้อย่างไร  หนำซ้ำหนี้สินก็อีรุงตุงนัง  ไม่อยากอ่านต่อไป  เพราะเกรงจะรับสภาพความเป็นจริงของความทุกข์ที่รออยู่ไม่ไหว   แต่อยากให้อดทนเข้มแข็งสักนิด   แม้เรายังไม่มีเงินเก็บเลย เราก็เริ่มต้นได้ค่ะ  แม้มีหนี้ เราก็ต้องเริ่มต้นเก็บ  เริ่มได้ทุกคน และต้องพลิกชีวิตในทันที  ในตอนต่อๆไป จะเล่าให้ฟังแบบคร่าวๆ เริ่มต้นได้  อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ขั้นเทพ แต่มันทำให้เรามีก้าวต่อไปที่มั่นคงได้

สัจจธรรมอีกเรื่องนึงของชีวิตมนุษย์ นอกจากความชรา ที่กล่าวไปแล้ว  ยังมีเรื่องความเจ็บป่วยของวัยและสังขารที่ร่วงโรย  ตลอดจนสภาพมลภาวะต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ บ้างก็รักษาได้  บ้างก็รักษาไม่ได้   ค่ารักษาพยาบาลเดี๋ยวนี้ ก็แพงกว่าสมัยก่อนมาก  การรักษาตัวในโรงพยาบาลดีๆ  ใช้เงินในการรักษาต่อครั้ง เป็นแสน  เข็าโรงพยาบาลไม่กี่วัน หมดเป็นแสน เป็นเรื่องง่ายๆ   4 ปีก่อนในสมัยทีทำงานที่ฮานอย  แค่ค่าน้ำเกลือขวดนึง นอนในคลีนิตต่างชาติแห่งนึง  เสียค่ารักษาพยาบาลไป USD400  หรือ 12,000 บาท   ดังนั้นการที่สมาชิกครอบครัวป่วยขึ้นมา  ไม่ว่าจะเป็นเรา หรือ ลูก หรือ คนที่เรารัก ป้วย  เราก็ย่อมอยากรักษาให้เต็มที่ ให้เขาพ้นทุกข์ทรมารให้เร็วที่สุด  จะต้องเสียเงินเท่าไหร่เราก็พร้อม   แต่สิ่งนี้ ก็ทำให้เงินสำรองที่เราเตรียมไว้ ร่อยหรออย่างรวดเร็ว และอาจจะไม่พอใช้  ยิ่งคนที่ไม่ได้ตระเตรียมตัวไว้   ต้องพึ่งพาสวัสดิการภาครัฐ  ต้องไปนั่งรอคิวยาวเหยียด รอหมอ รอห้อง  สร้างความเจ็บปวดทรมารให้คนป่วย หลายๆคนก็อาจจะเสียชีวิต พิการ เพราะการรักษาพยาบาลที่ไม่ทันการ  สร้างความสูญเสียให้กับครอบครัว เพียงเพราะเราวางแผนการเงินไม่ดีพอ  สำหรับคนที่แก่ชรา สังขารร่วงโรย ส่วนมากก็จะป่วยกระเสาะกระแสะ  ต้องหาหมอสารพัดโรค  ค่าหมอ ค่ายา มากมาย  เงินที่เก็บสะสมไว้ คิดว่าจะใช้สบายๆท่องเที่ยวในวัยเกษียณ หมดไปกับค่ารักษาพยาบาล   ดังนั้นการเตรียมเงินไว้เผื่อสิ่งที่เป็นสัจจธรรมของชีวิต  แม้เราไม่ปรารถนา แต่ก็สามารถเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน   เราต้องเตรียมพร้อมที่จะบริหารจัดการการเงิน ให้เพียงพอกับเรื่องเหล่านี้  และไม่ให้ปัญหานี้ มีผลกระทบกับเงินก้อนอื่นๆ ที่เราตั้งใจจะสะสมไว้ใช้ในยามเกษียณ

สำหรับคนที่มีลูกหลาน ย่อมรู้ซึ้งถึงความรัก ความห่วงใย มากมายที่มีต่อลูกน้อย   ความรักของพ่อแม่ทำให้เราใฝ่ฝันที่จะเห็นลูกมีอนาคตที่งดงาม  เติบโตอย่างฉลาดสมวัย  มีพัฒนาการที่ดี มีความเก่งกล้าสามารถในทุกๆด้าน และมีคู่ครอง มีการงานที่ดีค่อไป ความปรารถนาของพ่อแม่ไม่มีที่สิ้นสุด   จึงเป็นช่องทางที่เหล่า "ปัญญาพาณิชย์"  ทั้งหลาย หากินกับความรัก และความคาดหวังของพ่อแม่ มีสารพัดคอร์ส สารพัดโรงเรียน   ค่าเล่าเรียนก็ไม่น้อบ   เอาแค่ เรียนปริญญาตรี โท ในต่างประเทศ อาจจะต้องใช้เงิน 10 กว่าล้านต่อคน   แค่ค่าเล่าเรียนในปัจจุบัน  เรียนธรรมดาหากเรียนโรงเรียนเอกชน ก็ปีนึงใกล้ๆแสน ถึงสองแสน    หากเรียนอินเตอร์ ปีนึงก็ใกล้ล้านเหมือนกัน    ไม่รวมค่าเรียนสารพัดพิเศษ เฉลี่ย ชม.ละ 500 บาทในปัจจุบัน  รวมๆแล้ว การมีลูกคนนึง หากเราไม่รู้จักใช้สติระงับความรักให้พอดี  ไม่ต้องเห่อตามชาวบ้าน ตามกระแสมากเกินไป ก็ต้องใช้เงินเป็นล้านเหมือนกัน     แต่หากยิ่งเห่อตามกระแส  เด็กคนนึงต้องใช้เงินเพื่อการศึกษาหลายสิบล้านบาท    แถมดูจากคุณภาพที่เรียนจบออกมาทำงาน ก็ไม่คุ้มค่าเอามากๆ  เด็กบางคน ไม่มีน้ำอดน้ำทน  ไม่มีทักษะการทำงาน ทำงานแล้วยังมาขอเงินพ่อแม่ต่อไป   พ่อแม่หลายๆคน ต้องติดตามใช้หนี้ให้ลูก เพราะลูกไม่มีทักษะการบริหารเงิน และไม่รู้เท่าทันชีวิต ทำให้ติดกับดักความฟุ้งเฟ้อสุดท้ายจึงเห็นคนแก่ชรามากมาย ที่ลูกหลานไปมาดูแล ทั้งๆที่เรียนสูง อาชีพการงานดี  แต่เค้าหมุนเงินไม่ทัน  ใช้เงินไม่เป็น จึงไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ไม่สามารถดูแลพ่อแม่ที่ทะนุถนอมกล่อมเกลี่ยมาแต่เด็กได้     ดังนั้น การวางแผนด้านการเงินเพื่อการศึกษาลูกก็มีความจำเป็นต้องวาง และห้ามนำมาปะปนกับเงินก้อนอื่นๆ เช่น เงินสำหรับการรักษาพยาบาล  เงินสำหรับเกษียณ    หากนำเงินทั้งหมดมารวมกัน โดยไม่แบ่งแยก เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะพลอยดึงให้ชีวิตส่วนอื่นๆ พังทะลายเป็นโดมิโนไปด้วย

ไว้มาต่อตอนที่สามนะคะ  ยังมีสัจจธรรมชีวิตที่ไม่สวยหรู มาฝากอีก

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (1)


เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาดีๆ และฟรี รายการหนึ่งคือ เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน ซึ่งเป็นสัมมนาที่บลจ.กรุงศรี จัดเป็นประจำอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ปกติจะเป็น Workshop การวางแผนด้านการเงินส่วนบุคคล เวลา สองวันเต็ม แต่คราวนี้เป็นฉบับย่อ ครึ่งวัน ซึ่งจัดให้กับผู้ฟังรายการ ปฎิบัติการพลิกชีวิต 101 Money Make Over   ต้องขอบคุณรายการนี้เช่นกัน ที่ขยันจัดกิจกรรมดีๆให้กับเหล่าสมาชิกให้มีทักษะ มีความรู้ด้านการบริหารเงิน ซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญ  คนจำนวนมากเรียนสูงมาก จบโท จบเอก เป็นดอกเตอร์จากต่างประเทศ  แต่ด้อยเรื่องการบริหารการเงิน  ทำให้แม้ทำงานตำแหน่งหน้าที่การงานสูง   แต่ไม่สามารถบริหารจัดการรายรับรายจ่ายได้ดี  แม้หามามากมายเพียงใด  ก็อาจจะไม่เหลือเพียงพอในการใช้จ่ายในบั้นปลายของชีวิต  การเรียนรู้เรื่องธรรมชาติของเงิน และการบริหารจัดการการเงินของเราเอง ที่เราหามาด้วยน้ำพัก น้ำแรงของเราเอง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ แม้เรียนมาสูง เรียนมาน้อย ก็ต้องทำ เพื่ออนาคตของเรา จะได้ไม่เป็นภาระของใครในบั้นปลายชีวิต

คนจำนวนไม่น้อย กลัวการมีเงิน มองว่า การมีเงินเป็นเรื่องที่ผิดบาป ละโมภ เป็นเรื่องของคนไม่รู้จักพอ  เป็นเรื่องของการเอารัดเอาเปรียบคนในสังคม  คนจำนวนมาก จึงรีบใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพื่อกำจัดมันออกจากกระเป๋าให้เร็วที่สุด และตะกุยตะกายหาเงินอย่างทุรนทุราย หิวกระหายเงิน เพราะมันขาดมือ  กลายเป็นวงจรอุบาสก์ สร้างความทุกข์ทรมาร เหมือนหนูถีบจักร ไม่สิ้นสุดจนกว่าจะตายจากไป    เมื่อวานนี้ ดิฉันได้มีโอกาสชมภาพยนต์เรื่อง Simple Life  ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนต์ชีวิตที่กินใจ  แสดงสัจจธรรมของชีวิตของมนุษย์  เป็นเรื่องราวของหญิงชราผู้หนึ่ง ในวัยแข็งแรงสดสวยของเธอ เธอได้ทำงานเป็นพี่เลี้ยงแม่นม ดูแลเด็กให้ครอบครัวผู้มีอันจะกิน   แต่เมื่อแก่ชรา เกษียณ  เธอได้รับการปลดระวาง  ครอบครัวนั้นจะย้ายไปต่างประเทศ ไม่คิดจะเอาเธอ ที่เป็นคนชราไปด้วย  เธอจึงต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างคนชราที่ไร้ญาติ   โชคดีที่เด็กที่เธอเลี้ยงเติบโตเป็นหนุ่มที่มีจิตใจงดงามและสำนึกในบุญคุณ คอยหมั่นมาเยี่ยมเยียน ดูแลให้เงินใช้   แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตคนชราที่ชินกับการทำงาน  ก็เฝ้าหางานอย่างยากลำบาก ได้งานเฝ้าห้องน้ำ   ได้งานทำความสะอาด ทั้งๆที่ร่างกายและสังขารไม่อำนวย   เรื่องดำเนินไปอย่างเรียบง่าย หดหู่ เห็นความรู้สึกนึกคิดที่เงียบเหงา รู้สึกไร้ค่า ของคนชราที่ไม่มีญาติพี่น้อง และไม่มีเงิน ต้องกินอยู่ด้วยสวัสดิการรัฐ และเงินช่วยเหลือของสังคม จนวันตาย

หันมามองชีวิตของคนชรา ที่มีการวางแผนทางการเงินมาอย่างดี ในวัยที่แข็งแรง  แม้เกิดมายากจนเหมือนกัน แต่มีการวางแผนจัดการทางการเงิน ในการสะสมเงินไว้ใช้ในยามชรา  เวลาป่วยก็ไม่ต้องไปรอคิวรพ.รัฐบาล ไม่ต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างจำกัด  มีเงินเหลือเพียงพอ ในการช่วยเหลือการกุศลส่วนรวม  ทำให้ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระกับใคร ไม่ไร้ค่า  แม้แก่ชราก็มีพลังเต็มเปี่ยมในการเป็นผู้ให้กับผู้อื่น  ช่วยเหลือลูกหลาน ลูกหลานบริวารห้อมล้อมเพราะอยู่ด้วยแล้วสบายใจ มีแต่ความสุข  ชีวิตของคนชราสองกลุ่มช่างแตกต่างกัน คนชราที่ไม่ได้เตรียมเงินสะสมมาเพียงพอ มิใช่เพราะว่าท่านใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยในอดีต  แต่หลายๆคนก็ทุ่มเทให้ลูกหลานเกินพอดี  รักลูกหลานเกินพอดี ทำให้การเงินที่หาได้ในวัยทำงาน หมดไปกับการส่งเสียลูก แล้วหวังว่า เมื่อลูกหลานเติบโต ทำงานประสบความสำเร็จในอาชีพ ก็คงกลับมาดูแลตนในวัยชรา  ซึ่งสถานการณ์โลกและสังคมในปัจจุบัน มันมิได้เป็นเช่นนั้น

ในโลกปัจจุบันนั้น มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องระบบการเงินและเศรษฐกิจหลายอย่าง ในยุคก่อนปี 2000 นั้น การฝากเงินกับธนาคาร ได้รับอัตราผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยที่สูงมาก คือ 10 กว่า - 20%  ในขณะที่มูลค่าที่ดินต่างๆก็มีราคาต่ำ เพราะคนไม่นิยมซื้อ ส่วนในปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากนั้น ต่ำมาก คือ เหลือ  2-4% เท่านั้น  ซึ่งเมือ่หักกับอัตราเงินเฟ้อแล้ว คนฝากเงิน ต้องขาดทุนในบางปีด้วยซ้ำไป  เพราะค่าของเงินเล็กลง  



จากตารางนี้ จะแสดงให้เห็นว่า หากเรามีเงิน 10 ล้านในวันนี้ ตั้งไว้เฉยๆ    ในเวลา 5 ปี 10 ปี 20 ปี 30 ปี   ค่าของเงิน 10 ล้าน จะมีมูลค่าลดลงเรื่อยๆ  ยิ่งอัตราเงินเฟ้อสูงเท่าใด   ค่าของเงินก็เล็กลงเท่านั้น  เช่น ในเวลา 5 ปี  หากอัตราเงินเฟ้อ 4%   ค่าของเงิน 1 ล้าน จะมีค่าเหลือเพียง 8.22 ล้าน   ต่อให้เราฝากธนาคาร ได้ดอกเบี้ยมา 3 %  เราก็ไม่สามารถรักษามูลค่าเงินที่ 10 ล้านได้  ดังนั้น การเก็บรักษาเงินไว้ใช้ในระยะยาว  หากไม่มีวิธีการวางแผนการรักษาเงินที่ดีแล้ว   นอกจากเงินจะไม่งอก ไม่โตแล้ว ยังหดค่าทำให้ไม่พอใช้อีกด้วย

เดี๋ยวมาบ่นต่อ เรื่องปัญหาชีวิตอีกมากมายที่รอเราอยู่ และเราจะจัดการกับมันอย่างไรดี  ในตอนต่อไปนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

การปรับพฤติกรรมเด็กบนพื้นฐานการมีสติ


วันนี้ดิฉันได้มีโอกาสไปฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง "การปรับพฤติกรรมเด็กบนพื้นฐานการมีสติ"  โดย อจ.ดร.วไลลักษณ์ พุ่มพวง ซึ่งท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ เรื่องการปรับพฤติกรรมของเด็กๆ ที่มีปัญหาหลากหลาย เช่น ซน สมาธิสั้น หรือ เด็กในกลุ่มอาการต่างๆ   กิจกรรมการบรรยายพิเศษนี้ ทางโรงเรียนกท.คริสเตียน ได้จัดร่วมกับกลุ่มผปค.เครือข่ายของโรงเรียนในระดับชั้นประถม  เพื่อให้ความรู้ข้อมูลเรื่องการอบรมดูแลลูก เพื่อให้ลูกประสบความสำเร็จและมีความสุข เป็นคนดีมีคุณภาพต่อโลกและสังคมต่อไป  เมื่อได้ฟังข้อมูลหลายๆเรื่อง ที่อจ. วไลลักษณ์ ได้แบ่งปันในวันนี้ ก็มีประเด็นต่างๆ ที่เชื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆผปค.มากมาย ที่ควรนำมาแบ่งปัน

พ่อแม่ทุกๆคน คงเคยประสบปัญหาหรือ อาจจะกำลังประสบปัญหาด้านพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของลูกๆ  อยากไห้ลูกขยัน รับผิดชอบทำการบ้าน ทบทวนหนังสือ  อยากให้ลูกพูดเพราะ อยากให้ลูกเป็นเช่นนั้นเช่นนี้  หรือ อาจจะไม่อยากให้ลูกก้าวร้าว  ไม่อยากให้ลูกขีเกียจ และอื่นๆ  แต่การแก้ปัญหาด้านพฤติกรรมลูกๆนั้น มิใช่เรื่องง่ายๆ หากเราไม่เข้าใจที่มาที่ไปของปัญหา และไม่มีวิธีการที่ถูกต้อง ก็อาจจะยิ่งซ้ำร้าย ปัญหายิ่งบานปลาย หรือก่อปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย  เช่น เราบ่นว่า ตำหนิลูกตลอดเวลา ก็อาจจะทำให้ปัญหาความสัมพันธ์ร้าวฉาน  พูดกันไม่รู้เรื่อง หรือลูกอาจจะน้อยใจ เข้าใจผิด ยิ่งมีปัญหาต่อเนื่อง   ดังนั้น จะแก้ปัญหาพฤติกรรมของลูกได้ ต้องมีเทคนิคค่ะ

ก่อนอื่น พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า คำว่า "พฤติกรรมนั้น" หมายถึง การกระทำที่เห็นชัด สามารถเห็นหรือได้ยินได้ เช่น การตีน้อง การพูดคำหยาบ   แต่หากเป็นความคิด ความรู้สึก เท่านั้น มันไม่ใช่พฤติกรรม เช่น การไม่ชอบอ่านหนังสือ  การไม่ชอบเรียน ดื้อ โมโหร้าย ก้าวร้าว สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ชัด เพราะเป็นการเหมารวมหลายๆครั้ง ไม่ชัดเจน  จึงจะนำมาปรับพฤติกรรมได้ยาก  ดังนั้น  การจะแก้ไขพฤติกรรม ต้องแยกแยะ ปัญหาพฤติกรรมให้ย่อยลง แล้วค่อยๆแก้ทีละจุด  หลักในการปรับพฤติกรรมเด็กนั้น จะมีหลักดังนี้

 1)  มองดู สังเกตพฤติกรรมของเด็ก ทั้งๆจากที่บ้านและที่โรงเรียน แล้วมาแยกว่า มีปัญหากี่พฤติกรรมอะไรบ้าง  
2) ปรับทีละพฤติกรรม
3) ปรับพฤติกรรมที่มีความถี่มาก หรือเห็นชัดก่อน หรือ มีผลกระทบมากก่อน
4) สังเกตว่า เวลาเกิดพฤติกรรมนั้น  มีปัจจัยอะไรบ้าง  น้องมักจะเป็นแบบนั้น ในสถานการณ์ใด เหตุการณ์ใด  อะไรเป็นสิ่งเร้าให้เกิดพฤติกรรมนั้น
5) ตั้งเป้าหมายในการปรับพฤติกรรมไม่เกินความสามารถของเด็ก  ค่อยๆฝึกไปทีละขั้น จากง่ายไปยาก  
6) เลือกเทคนิคต่างๆในการปรับพฤติกรรม ให้เหมาะกับพฤติกรรมและความต้องการของเด็ก

ปัญหาของพฤติกรรมของเด็กนั้น หลักๆ จะมีสาเหตุจาก

- การต่อต้านพ่อแม่  
- เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่
-  เบื่อหน่าย อยู่ในสถานการณ์ที่เค้าไม่ชอบ

ซึ่งเราต้องมองดูสาเหตุของพฤติกรรมที่ไ่ม่ดี หรือมีปัญหาของลูกว่า เกิดจากสาเหตุใด จึงจะแก้ได้ถูกจุด เด็กหลายๆคน แม้มีปัญหาพฤติกรรมที่เหมือนๆกัน หรือคล้ายๆกัน  แต่ส่วนมาสาเหตุ สิ่งเร้าก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ก็ต้องใช้วิธีการที่ไม่เหมือนกัน


โดยปกติ การปรับพฤติกรรมเด็กนั้น จะมีอยู่สองวิธี คือ การสร้างแรงจูงใจให้ทำ เช่นการให้รางวัล  คำชื่นชม   และการลงโทษ  แต่การใช้วิธีใด ก็ต้องเลือกให้เหมาะสม  เช่น

หากเราต้องการให้ลูกเลิก หรือหยุดพฤติกรรมที่ไม่ดี  เช่น  ก้าวร้าว โวยวาย ลักขโมย ทำร้ายคนอื่น ก็ต้องใช้วิธีการลงโทษ  หากลูกแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้นออกมา  การลงโทษนั้น ก็มีหลายวิธีและหลายระดับ แต่ต้องทำในทันที ที่น้องทำพฤติกรรมไ่ม่ดี เช่น หากโวยวาย อาละวาด จะต้องไป Time Out    ก็ต้องทำค่ะ

แต่หากเราต้องการให้ลูกทำ พฤติกรรมที่ดีๆ  เช่น ทำการบ้าน อ่านหนังสือ หรือ ขยัน รับผิดชอบ เราก็ต้องใช้วิธีสร้างแรงจูงใจ ให้รางวัล เพื่อ จูงใจให้เค้าทำในสิ่งที่ควรทำ  การให้รางวัล อาจจะเป็นการกอด การชื่นชม หรือ การให้สิ่งของรางวัลเล็กๆน้อยๆ ที่เป็นรางวัลในการทำดีของเด็ก

หากเราใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น จะหยุดพฤติกรรมก้าวร้าวของลูก แต่ใช้วิธีการให้รางวัล  (หากไม่โวยวาย จะให้รางวัล)  เด็กก็จะโวยวายทุกครั้ง  จะหยุดเมื่อะอยากได้รางวัล  ซึ่งกลายเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ทำไม่ดียิ่งขึ้น   หรือ พ่อแม่บางท่าน ใช้วิธีตำหนิ ต่อว่าเมื่อลูกไม่ทำตามที่เราต้องการ  เมื่อทำดี ไม่มีชม ไม่มีรางวัล ลูกเล่าอะไร ก็หาเรื่องตำนิ หาข้อติได้ทุกเรื่อง ก็จะสร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ และทำให้ลูกไม่อยากพูดคุย หารือกับพ่อแม่ได้

ดังนั้น วิธีการปรับพฤติกรรมลูกให้ได้ผล ต้องควบคู่กับ การสื่อสารที่ชัดเจน  ไม่เพ่งโทษ และมีการตวบคุมอารมณ์ได้เหมาะสม   โดยปกติ เมื่อลูกมีปัญหาด้านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม  พ่อแม่ย่อมผิดหวัง หรือ โกรธ แต่ต้องรู้จักควบคุมอารณ์โกรธนั้น มิให้เกินเลย ถึงขั้นทำร้าย ด่าทอ บ่นไม่หยุด หรือ ตำหนิรุนแรงเกินไป   พ่อแม่ต้องรู้จักควบคุมความโกรธ ปล่อยวางให้อภัยในควาามไม่สมบูรณ์แบบของลูกและของเรา  และเข้าใจเรื่องความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา  และต้องเปิดใจฟังลูก อย่างตั้งใจ และเอาใจใส่  

หากวิเคราะห์ดูแล้ว  เราโกรธลูกเมื่อ

- เมื่อไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง 
- เมื่อเราคอยจ้องจับผิดพฤติกรรมลูก (มองข้ามสิ่งดีๆที่ลูกทำ)
- เมื่อมีความกลัวว่าลูกอาจจะเป็นเด็กที่ไม่ดี แย่กว่าลูกเพื่อน ลูกข้างบ้าน ลูกญาติ  (เมื่อเรายึดติดกับการให้คุณค่าจากภายนอก)
- เมื่อกลัวว่า เราจะมีปัญหาแบบเดิมๆอีก
- เมื่อเรายึดติดกับอะไรหลายอย่างที่ไม่เป็นจริง เป็นอดีต หรือไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เช่น ลูกต้องเก่งกว่าเรา หรือ เก่งเหมือนกเรา
- เมื่อเราขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงสาเหตุของปัญหาของลูก

การมีสติเท่านั้น จะทำให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ และความคิดของเราเอง และจะทำให้เราสามารถปล่อยวาง ให้อภัยลูก ให้อภัยคนอื่นและตัวเราได้

เมื่อเราระงับอารมณ์ได้แล้ว สิ่งสำคัญอืกสิ่งหนึ่งในการใช่ในการแก้ปัญหาพฤติกรรมลูก คือวิธีการสื่อสาร  ซึ่งควรใช้ I Message คือ การสื่อว่าเรารู้สึกอย่างไร  ในการกระทำของลูก  เช่น  

แม่รู้สึกเสียใจ ที่ได้ยินลูกพูดแบบนี้

แม่ภูมิใจมาก ที่ลูกสามารถทำการบ้านได้เสร็จทันเวลา

แม่ชื่นใจที่ลูกช่วยล้างจาน


แต่ไม่ควรพูดในเชิงเปรียบเทียบเช่น ใครๆก็ทำเป็น ทำไมลูกทำไม่ได้   คนอื่นเค้าเป็นแบบนี้ ทำไมลูกไม่เป็น  หรือ ทำไมลูกไม่เข้าใจ  ทำไมลูกเป้นคนพูดไม่รู้เรื่อง เป็นต้น   

เมื่อลูกมีการทำความดี หรือ ทำให้สิ่งที่ดี หรือปรับพฤติกรรม ลูกควรได้รับรางวัลหรือคำชื่นชม  อย่าสนใจลูกเฉพะาเวลาที่ลูกมีปัญหา หรือ สร้างปัญหา  แต่ควรสนใจ แสดงความใส่ใจ เวลาที่ลูกทำดีๆ   การโอบกอด คำพูดที่ชื่นชมให้กำลังใจ  เป็นพลังที่สำคัญในการปรับพฤติกรรมลูกในด้านบวกค่ะ

สุดท้ายที่คุณหมอเน้น คือ เด็กๆไม่ว่าจะเป็นเด็กที่เป็นเด็กซน สมาธิสั้น ก้าวร้าว หรือ เด็กออทิสติก ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จด้านการเรียน และอาชีพการงานได้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของเด็กให้เป็นที่ยอมรับ และแก้ปัญหาพฤติกรรมด้านลบได้มากน้อยเพียงใด   ปัญหาด้านพฤติกรรมของมนุษย์นั้น เกิดจากาการเรียนรู้ อันเนื่องมาจากสิ่งเร้า เช่น ความกลัว ความวิตกกังวล  หรือ มาจากเงื่อนไขของผลกรรมที่ทำ (เช่น ทำแบบนี้แล้วได้รับความสนใจ)  หรือ เรียนรู้ผ่านตัวแบบ เช่นเลียนแบบพ่อแม่ เลียนแบบเพื่อน เป็นต้น  ดังนั้น การที่เราพ่อแม่จะปรับพฤติกรรมของลูกได้ ต้องมีสติและควบคุมตัวเอง  เป็นต้นแบบที่ดีงาม และ สามารถที่มาที่ไป ต้นเหตุของปัญหาพฤติกรรมนั้น แก้ปัญหาได้ทุกจุด ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ก็จะช่วยลูกได้ค่ะ

ลงโทษลูกอย่างไร ให้ไม่มีปัญหา


ดิฉันอยากเล่ารายละเอียดปลีกย่อย จากการบรรยายพิเศษเรื่อง "ปรับพฤติกรรมเด็กบนพื้นฐานการมีสติ"  มีคำถามเพื่อนๆผปค.บางท่าน เกี่ยวกับ การใช้วิธีการลงโทษลูกแล้ว ไม่ได้ผลหลายท่าน  และบางท่านอาจจะประสบปัญหาคือ นอกจากจะปรับพฤติกรรมไม่ได้ผล แล้ว ลูกอาจจะมีปัญหามากกว่าเดิม  หรือ มีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆตามมา  อันมาจากการต่อต้าน หรือ เรียกร้องความสนใจของเด็ก  เช่น

"เรื่องtime out เช่นเวลาที่แกโวยวายหรือเอาแต่ร้องไห้ บางทีก็จะใหไปอยู่อีกห้องหนึ่ง แกจะกลัวคะ เพราะเคยเอาให้ไปอยู่บางครั้งก็แกล้งปิดประตูที่นี้ร้องลั่นเลย นึกว่าเอาไปขัง. พอครั้งหลังเวลาที่ทำผิดสล้วบอกว่าต้องไปห้องนี้จะกลัวไม่กล้า หลังๆไม่ใช้วิธีนี้ อย่างนี้มีผลอะไรกับเขาไหม๊คะพี่หุย ขอคำแนะนำด้วยคะ"

หรือ

" ลูกถูกลงโทษ ด้วยการให้ออกจากห้องเรียน เมื่อ "ป่วน" ในห้อง ผลก็คือลูกชอบมาก เพราะไม่ต้องเรียนวิชาที่ไม่ชอบ จึงป่วนทุกครั้งที่ไม่อยากอยู่ในห้อง"

สิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวอย่างในสองกรณีนี้   คือ การใช้การลงโทษ ที่ไม่ชัดเจน หรือ ผิดวิธีค่ะ  ทำให้การลงโทษนั้นไม่ได้ผล  และเมื่อการลงโทษนั้น ไม่ได้ผล ไม่สามารถหยุดปัญหาพฤติกรรมเด็กได้  ก็ต้องหาวิธีการอื่นในการปรับพฤติกรรมเด็ก   

วิธีการลงโทษเด็กที่มีพฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์  ผปค. ต้องการ "หยุด" พฤติกรรมดังกล่าว  ผปค. ควรใช้วิธีการเป็นขั้น เป็นตอนดังต่อไปนี้

1)  พูดคุย อธิบายให้ชัดเจน  ไม่ใช้อารมณ์ว่า  พฤติกรรมที่ลูกทำนี้(ต้องกำหนดพฤติกรรมให้ชัดๆ ว่า อาละวาด ลงไปดิ้นที่พื้น  หรือ ตีคนอื่น เป็นต้น)  ไม่ดีอย่างไร มีผลเสียอย่างไร  และลูกต้องหยุดพฤติกรรมนี้

2) ทำข้อตกลงกับลูก และ กำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจน และทำตามนั้น เช่น   หากเห็นอีก จะเตือน กี่ครั้ง   หากเตือนแล้วลูกไม่หยุด จะมีการตี หรือ จะลงโทษด้วยการตัดเงิน หรือ งดกิจกรรมที่ชอบ หรืออะไร ก็ต้องกำหนดชัดเจน


ในขั้นตอนเหล่านี้ ต้องเรียกมาคุย ด้วยความเมตตา ไม่คุยในขณะที่มีอารมณ์โกรธ และต้องรอความพร้อมของเด็กในการฟัง อย่าพูดในขณะที่เด็กกำลังโกรธ หรือไม่สนใจ  เพราะต้องอาศัยความร่วมมือและยินยอมจากลูกด้วย


เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ที่พูดคุยไว้  เราก็เตือนลูกตามขั้นตอนที่ตกลงกัน ทันที ไม่มีข้อยกเว้น  และต้องลงโทษ เมื่อลูกไม่ทำตามที่ตกลงกัน จะตีกี่ที ก็ต้องตามนั้น ไม่ตีเบา ไม่ตีแรงเกินไป หรือไม่ตีเกินจำนวนครั้งที่กำหนด  ข้อสำคัญ คือ เราต้องควบคุมอารมณ์ของเราให้ได้  การดุ ตำหนิ หรือ ลงโทษลูก ต้องทำด้วยความรัก และกำจัดอารมณ์ โกรธ ผิดหวัง เสียใจออกไป  และการลงโทษ ควรทำในที่ๆเป็นส่วนตัว  ไม่ทำให้เด็กเสียหน้าค่ะ


ในกรณี Time  out ของฝรั่งนั้น จุดประสงค์ ก็เพื่อให้เด็กได้รู้จักวิธีสงบสติอารมณ์ของตัวเอง  ฝรั่งจึงใช้วิธี Time Out เพื่อพาเด็กออกจากสถานการณ์ หรือสิ่งเร้า ที่ทำให้เด็กแสดงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์นั้นออกมา   เมื่อเอาเด็กออกมา Time Out แล้ว มิใช่ทิ้งให้เด็กอยู่กับอารมณ์ อาละวาดนั้น ตามลำพัง  ในกรณีเด็กเล็กๆ เราควรโอบกอด และเราต้องไม่โมโห ตำหนิลูก ดูด่าลูกในระหว่างนั้น อ้อมกอดของเรา ทำให้เด็กอารมณ์เย็นลง  สงบได้เร็วขึ้น  ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น  เมื่อเด็กสงบแล้ว จึงพูดคุยด้วยความเมตตาถึงปัญหานั้น  ว่าลูกไม่ควรแสดงกิริยา อารมณ์ออกมาเช่นนั้น  หากทำเช่นนั้นอีก พ่อแม่ก็ต้องให้ลูกออกมาสงบสติอารมณ์แบบนี้ 


ในกรณีเด็กโต  หากเด็กถูกฝึกมาแบบนี้ ก็จะต้องคุยกับเด็กก่อน ว่า เด็กทำไม่ดี หรือแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ไม่เหมาะสม ให้ออกไปสงบอารมณ์  (10 นาที หากอายุ 10 ปี)  แล้วลองพิจารณาดูว่าปัญหาคืออะไร เราควรทำอย่างไร     หากฝึกเช่นนี้เป็นนิสัย เด็กจะรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง  เมื่อรู้สึกเครียด วุ่นวายใจ ก่อนที่จะหุนหันพลันแล่น แสดงอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม หรือ มีพฤติกรรมที่ไม่ดี เค้าก็จะรู้จักวิธี ดึงตัวเองออกจากสถานการณ์ที่เป็นปัญหาชั่วคราว แล้ว เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับปัญหาอีกครั้ง และหากพฤติกรรมของลูกนั้น ก่อความเสียหายถึงผู้อื่น ลูกต้องกลับมาเผชิญสถานการณ์และรับผืดชอบต่อการกระทำนั้น พ่อแม่ ก็ไม่ควรทิ้งให้ลูกต้องมารับผิดชอบ แก้ปัญหาตามลำพัง  ควรให้กำลังใจลูก และอยู่เป็นเพื่อนลูก ร่วมกันฝ่าฟัน แก้ปัญหารับผิดชอบการกระทำที่ผิดพลาดนั้นค่ะ  ลูกจะไม่หวาดกลัว และเติบโตเป็นคนที่รู้ผิดชอบชั่วดี มีความรับผิดชอบด้วยค่ะ อันนี้สำคัญมากๆนะคะ


ขอย้ำอีกครั้ง ว่า พฤติกรรมของเด็กนั้น เกิดขึ้นจากการเรียนรู้จากคนรอบข้าง สิ่งรอบตัว   เรียนรู้จากการตีความการกระทำของคนอื่น  เด็กเล็กๆ ถึงวัยประถม  ยังให้ความสำคัญกับพ่อแม่มากที่สุด  พฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็ก อาจจะมาจาก การที่เด็กต้องการเรียกร้องความสนใจของคนรอบข้าง  หรือ อาจจะมาจากการที่เด็กได้รับการส่งสัญญาณในทางที่ผิด


ดังนั้นในฐานะพ่อแม่ เมื่อเราต้องการให้ลูกมีพฤติกรรมดี ประสบความสำเร็จ เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดี รวมทั้ง ปลูกฝังลูกให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีงาม ไม่มีปัญหาพฤติกรรมให้เด็กได้เลียนแบบ รวมทั้งควบคุมสื่อต่างๆ ที่เป็นแบบอย่างในทางไม่ดีของเด็กด้วย  มีหลายๆครอบครัว พ่อแม่ ติดเกม ติดเนต หรือสิ่งไม่ดีอื่นๆ จะคาดหวังให้ลูกฟังและเป็นตามที่เราพร่ำสอน คงเป็นไปไม่ได้ เพราะลูกจะเป็นแบบที่เค้าเห็นพ่อแม่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทางที่ไม่ดีค่ะ


อีกประการหนึ่ง คือเด็กๆต้องการได้รับความสนใจจากพ่อแม่  การชื่นชม ให้กำลังใจ ให้ความสนใจลูกในยามที่ลูกทำดี เช่น อ่านหนังสือ ทำการบ้าน หรือ รับผิดชอบงานต่างๆ  จะยิ่งส่งเสริมพฤติกรรมในด้านดีให้เด็กๆ   แต่หากพ่อแม่ไม่สนใจพูดคุยกับลูก หรือสนใจคุยกับลูก ก็ต่อเมื่อลูกทำไม่ดี ถูกตำหนิ ทำผิดพลาด  ลูกๆก็จะมีพฤติกรรมที่มีปัญหา เพื่อเรียกร้องความสนใจของพ่อแม่ เหมือนพฤติกรรมของเด็กแว๊นต์ที่ก่อความรำคาญบนท้องถนนก็เช่นกัน  เด็กเหล่านี้ ขาดแรงชื่นชม ไม่มีความสามารถอื่นใดให้คนชื่นชม  เค้ารู้สึกไม่มีตัวตน ไม่มีคนสนใจ จึงหันมาสร้างความเดือดร้อนรำคาญ  ได้รับเสียงก่นด่าสาบแช่ง ก็ยังดีกว่า ไม่มีตัวตน  นี่คือปัญหาของเด็กเหล่านี้  ที่พ่อแม่และคนรอบข้างไม่ใส่ใจ


เรื่องสุดท้ายที่อยากคุยในประเด็นนี้ คือ การส่งสัญญาณในทางที่ผิด  เช่น มีผปค.หลายๆท่าน ติดสินบนเด็ก เช่น หากลูกเลิกอาละวาด แม่จะซื้อขนมให้   หากลูกเลิกซน แม่จะให้เล่นเกม    การติดสินบน ให้รางวัล หากเด็กหยุดพฤติกรรมไม่ดี นั้น ทำให้เด็กคิดว่า ทุกครั้งที่เค้าต้องการเรียกร้องสิ่งใด เค้าต้องทำพฤติกรรมไม่ดีนั้น เป็นการต่อรอง   จึงยิ่งทำให้เค้าทำพฤติกรรมไม่ดีนั้นไม่ยอมหยุดค่ะ

ให้กำลังใจทุกท่านนะคะ ลองพิจารณากันดู