วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

5 เรื่องที่โรงเรียนควรสอนเพื่อให้เด็กพร้อมที่จะก้าวไปเผชิญโลกได้อย่างแท้จริง

วันนี้ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ สรรสาระ Reader Digest ฉบับเดือนกันยายน 2554 ซึ่งแถมมากับฉบับ เดือน มค. 2555 ที่เพิ่งซื้อมา  ปรากฎว่า เป็นหนังสือที่ดีมากมาย จนจะต้องไปสมัครสมาชิก  มีหลายเรื่องที่ดิฉันอยากจะนำมาเล่า วันนี้ขอหยิบยกเรื่องนี้ก่อน  เป็นบทความของคุณ Adrian Tan ซึ่งเป็นทนายความและนักเขียนที่มีชื่อเสียงจากสิงคโปร์  เขาเขียนหนังสือเรื่อง The Teenager Textbook และ The Teenager Workbook (ซึ่งดิฉันคงจะไปสอยมาอ่านต่อไป)  ขออนุญาตยกบทความมาทั้งดุ้น เพื่อไม่เสียอรรถรสในการอ่าน

"ชีวิตเ็ป็นเรื่องซับซ้อน มันเริ่มต้นก่อนที่เราจะพร้อม ดำเนินต่ไปในขณะที่เรายังคิดหาความหมายของมันไม่ออก และจบลงก่อนที่เราจะทำสิ่งที่ควรทำให้เสร็จ  จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เยาวชนจะต้องเตรียมตัวสำหรับการเดินทางเช่นนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราโชคดีเพราะในชีวิตของเด็กๆมีช่วงเวลาพิเศษสั้นๆที่ให้พวกเขาทำอย่างนั้นได้...ก็ โรงเรียนนั่นเอง

ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีที่ลูกๆของเรา ตกเป็นผู้ฟัง / ผู้ที่ถูกจองจำ เราสามารถปลูกฝังความรู้อะำไรก็ตามที่คิดว่าเป็นประโยชน์แก่พวกเขา  ณ วันหนึ่งข้างหน้า และจุดนี้เองที่ระบบโรงเรียนทำให้เราผิดหวัง เพราะเราพยายามให้โรงเรียนทำอะไรอย่างอื่นหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน
เราหวังให้โรงเรียนทำตัวเป็นศูนย์ดูแลเด็กที่คิดค่าบริการถูกๆ คอยหาอะไรให้ลูกของเราทำระหว่างที่ผู้ใหญ่มีธุระยุ่งอยู่ ดังนั้นเราจึงให้โรงเรียน เริ่มเรียนแต่เช้า และยืดเวลาออกไปตลอดทั้งวัน แม้ว่า บางทีเราก็ไม่ต้องการอย่างนั้นจริงๆ เรายังคิดด้วยว่า โรงเรียนน่าจะแยกเด็กฉลาด ออกจากเด็กปานกลาง เราจึงอัดวิชายากๆ ให้เด็กๆเรียน อย่างเช่น วิชาแคลคูลัส และเคมี เพื่อจะดูว่า เด็กคนไหน เรียนวิชาพวกนั้นได้ดีกว่าเืพื่อนสัก 2.3%

จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่นับนักคณิตศาสตร์ และนักเคมี พวกเราน้อยคนนัก จะได้ใช้ประโยชน์จากวิชาพวกนั้นในวันข้างหน้า ถ้าเราเห็นด้วยว่าจุดประสงค์ของการศึกษาคือ เตรียมความพร้อมสำหรับชีวิต ก็ไม่ควรเสียเวลาแม้แต่น้อยนิด เรารู้ว่าไม่ทันไรลูกๆของเราจะเริ่มเบื่อ ผิดหวัง และ โตเร็วเกินกว่าที่จะข่มขู่ให้ยินยอม ดังนั้นขณะ ที่ยังทำได้อยู่ เราควรจะเน้นสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่างแท้จริงให้พวกเขา  และหัวข้อต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมคิดว่าโรงเรียนควรสอน

ความมีมรรยาท เรื่องนี้ยิ่งเรียนรู้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี  ความสุภาพ และความเกรงใจ คือเครื่องหมายของผู้เจริญแล้ว หลายครั้งที่เรื่องราวสำเร็จลงได้ดีด้วยรอยยิ้ม และมรรยาท ที่ดีมากกว่าสำเร็จลงด้วยใบปริญญา

การบริหารเงิน  ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม  สำหรับพวกเราส่วนใหญ่แล้ว ชีวิตผู้ใหญ่หมดไปกับการดิ้นรนเพื่อเรื่องนี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไม เราถึงไม่พยายามสอนเยาวชน ให้รู้จักพื้นฐานของการบริหารเงิน  การกู้ยืมเงินจากบัตรเครดิตเป็นเรื่องดีอย่างนั้นหรือ  คุณควรกู้เงินซื้อบ้านอีกหลังหรือถ้าไม่มีรายได้ คุณใช้ชีวิตอย่างไรให้สมฐานะ ไม่มีใครคิดว่าเด็กควรจะเรียนรู้เรื่องนี้เมื่อออกจากโรงเรียนไปแล้ว (หรือแย่ไปกว่านั้น หลังจากได้งาน)  เรามีหน้าที่ต้องสอนเยาวชนของเรา ให้รู้จักทักษะพื้นฐานนี้เสียแต่ต้น

วิธีคิดเชิงวิพากย์  ทุกวันนี้ เราถูกข้อเท็จจริงและความคิดเห็นท่วมทับตัว มีการชักจูงใจให้เรายอมรับบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งนั้นประดิตประดอยมาอย่างดี โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราเห็นพ้องด้วย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนมีการศึกษาแล้วจะทำกัน  คนมีการศึกษาคือคนที่รู้จักใช้เหตุผลและมีเหตุผล ต้องดูข้อเท็จจริงและนำตรรกะมาปรับใช้  ถ้าโรงเรียนไม่สอนอะไรอื่น อย่างน้อย ก็ควรสอนวิธีคิดเชิงวิพากย์

สุขภาพ  เด็กๆควรเรียนรู้การดูแลร่างกายของตนเอง  พวกเขาควรจะรู้ว่า ถ้ากินอาหารขยะแล้วจะอ้วน และไม่ดีต่อสุขภาพ ควรรู้ให้ชัดว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายถ้าพวกเขาดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือ เสพยาเสพติด ควรจะรู้ว่าคนเราตั้งท้องได้อย่างไร นั่นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มเนื่อสาว และหลังจากนั้นเด็กไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะเรียนรู้เรื่องเพศจากวีดีโอเพลงแร็ปใหม่ล่าสุด

สังคม สิ่งที่อยากให้รู้ตรงนี้คือ พวกเราทุกคน เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ใหญ่กว่า เรามีสิทธิและหน้าที่ เราควรต้องเข้าใจว่า สิทธิและหน้าที่คืออะไร และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  เราควรต้องมีความรู้บ้างเล็กน้อย เรื่องประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง เพราะเราจำเป็นจะต้องรู้จักบริบทแวดล้อม เพื่อจะทำความเชื่อมโยงกับผู้คนรอบตัวเราได้

ถามว่าเราจะทดสอบเด็กนักเรียนเกี่ยวกับวิชาเหล่านี้ได้อย่างไร  คำตอบคือไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังเรียนรู้ ไม่มีทาง  อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้ทันที แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงไม่สอนประเด็นสำคัญๆต่างๆ  เราไม่ปิดโบสถ์  มัสยิด และวัดเพียงเพราะไม่แน่ใจว่าคนที่ไปวัดให้ความสนใจจริงหรือไม่  เราต้องเก็บเอาไว้ เพราะไม่อาจยอมรับการไม่มีสิ่งเหล่านี้ได้

ถามว่าวิชาพวกนี้ "กระจอก" เกินไปหรือไม่  ก็อาจใช่ แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด วิทยาศาสตร์ และวรรณคดี เป็นวิชาสำคัญ โลกนี้ยังมีที่ทางให้นักฟิสิกข์ควอนตัม และผู้รู้ลึกเรื่องวรรณกรรมเชกสเปียร์เสมอ  โรงเรียนของเรา ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้คนเก่งที่สุด และฉลาดที่สุดก้่าวล้ำหน้าใคร  แต่ต้องติดอาวุธให้คนอ่่อนแอที่สุด อยู่รอดได้ด้วย   ผมนึกไม่ออกว่าจะมีวัตถุประสงค์อันสูงส่งอื่นใดอีกมากไปกว่า การที่โรงเรียนจะใช้เวลาทุกขณะที่มีอยู่ บอกเด็กๆของเราว่า "ชีวิตเป็นอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่พวกเธอจะต้องหาให้เจอ  และนี่คือวิธีรับมือกับมัน"  อย่างอื่นนอกจากนี้ เป็นเรื่องเกินจำเป็น