วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โรคชอบเปรียบเทียบ

การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคน อื่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

เรา มักจะอยากรู้ว่าคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อนฝูงของเราได้ดิบได้ดีไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เขาขับรถอะไร

ได้ตำแหน่งระดับไหนแล้ว ลูกๆ ของเขาเรียนโรงเรียนอะไร สอบเข้าอะไรได้
แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเรา เองว่าเราดีกว่าหรือด้อยกว่า และก็เป็นธรรมดาที่

ใครๆ ก็อยากจะดีกว่าคนอื่น แต่หลายๆ ครั้งการเปรียบเทียบทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น

ความรู้สึกแบบนี้มักเกิดเมื่อเรา เอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ มีดีมากกว่าเรา

โดยเฉพาะเป็นการมีในสิ่งที่เรา อยากมี แต่ยังไม่มี หรือยังมีไม่พอ

และโดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่าคน คนนั้นเป็นคู่แข่ง ด้วย เช่น เราคงไม่รู้สึกด้อยเวลาได้ข่าวนักเรียนไทยได้เหรียญทองชีวโอลิมปิค เราชื่นชมว่าเขาเก่ง แต่ความรู้สึกอาจต่างกัน ถ้านักเรียนคนนั้นเป็นลูกของญาติของเรา และเรียนชั้นเดียวกับเรา

เปรียบ เทียบตัวเราในปัจจุบันกับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์

แต่ก่อนเราอาจจะเป็นนักกีฬาที่ เก่งกาจแต่เดี๋ยวนี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนเราอาจเคย

เรียน เก่งมากแต่เดี๋ยวนี้ด้วยปัญหาต่างๆ ทำให้เราเรียนได้แค่ปานกลาง

แต่ก่อนเราเคยมีเงินมากมายแต่ ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้เรามีหนี้มากมาย

ถ้าเราหมกมุ่นครุ่นคิด เรื่องเหล่านี้เราก็จะรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเรากำลังตกอับ

และมักจะคิดไปเองว่าคนอื่นก็มอง ว่าเรากำลังตกอับด้วย

เราเปรียบเทียบปัจจุบันกับความฝันที่ ยังไม่เป็นจริง เช่น อยากมีบ้านสวยๆ

แต่ก็ยังไม่มีสักทีทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่น

หลายๆ ครั้งเราก็อยู่ของเราดีๆ แต่คนอื่นชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งแล้วก็มาตัดสินว่าเราด้อยกว่า

และ มาพูดให้เราได้ยินด้วย เช่น บรรดาแม่ๆ มักจะเอาลูกของคนอื่นที่เรียนเก่งมาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองแล้วบ่นให้ ลูกฟัง เพราะหวังจะกระตุ้นให้ลูกเกิดความมานะ เอาอย่างคนเก่งๆ นั่น แต่ลูกอาจกลับเกิดความรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าคนอื่น บางครั้งการที่คนอื่นเอาเราไปเปรียบเทียบ แล้วมาพูดให้เราได้ยิน อาจเป็นการเหน็บแนมไม่ใช่ความหวังดีแบบนี้ก็ได้

การเปรียบเทียบนั้น บางครั้งก็ช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นมา ถ้าเรารู้สึกด้อยกว่าแล้วเราพยายามปรับปรุงตนเอง หรือเมื่อเราอยากเป็นแบบบุคคลที่เราชื่นชมแล้วพยายามพัฒนาตนเอง หรือพยายามเอาชนะคำสบประมาทของคนอื่น แต่ถ้าการเปรียบเทียบทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งแทนที่จะพยายามปรับปรุงตนเอง หรือยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้มีอย่างคนอื่นเขา แบบนี้ท่าทางเราจะเกิดภาวะการเปรียบเทียบที่เป็นพิษเสียแล้ว

การ พบว่าจริงๆ แล้วเราด้อยกว่าคนอื่นนั้นเป็นความเจ็บปวด แต่การเปรียบเทียบที่ไม่ตรงกับ ความเป็นจริง เกินจริง และเป็นไปในแง่ลบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเรากำลังเจ็บปวดจากการเปรียบเทียบอยู่ให้ลองถามตัว เองว่า กำลังเปรียบเทียบ อะไร เช่น ความสวย ความเก่ง ความรวย ความเด่นดัง ฯลฯ เพราะบางครั้งเราจะ "มึน" แยกประเด็นไม่ออกแล้วสรุปรวมว่าตัวเราโดยรวมทั้งหมดนั่นแหละที่ด้อย สู้เขาไม่ได้ ข้อมูลแม่นแค่ไหน รู้แน่หรือเดาเอา เรารู้แน่แล้วหรือรถที่เขาขับน่ะ ใช่รถของเขา เพื่อนเราไปเรียนเมืองนอกเพราะเก่งหรือเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ ได้

เรา รู้หมดทุกแง่ทุกมุมหรือยัง? หรือเห็นแต่แง่ดีของเขาเพียงด้านเดียว เวลาเห็นคนที่ร่ำรวยเรามักคิดว่าเขาคงจะมีความสุข ที่จริงแล้วคนที่ร่ำรวยไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขเสมอไป คนที่มีแฟนแล้วหรือคนที่ "ขายออก" แต่งงานแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขมากกว่าสาวโสด คนที่มีเงินเหลือเก็บมากเพราะประหยัดมากๆ ก็ไม่น่าจะมีความสุขเท่าไร โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกเป็นภรรยา

เมื่อพิจารณาความเป็นจริงแล้วลองคิด ต่อไปว่า เขาดี กว่าเราแล้วมันจะเป็นอะไรไป ถึงเขาจะมีเงินมากกว่า แต่เราก็ยังมีเงินเท่าเดิม เงินที่ เรามีอยู่มันไม่ได้หดหายไป ถึงคนข้างบ้านจะสวยกว่าเรามันก็ไม่ได้ทำให้เราสวยน้อยลง เราก็ยังคงเป็นคนสวยคนหนึ่งเหมือนกัน

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เราพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรบางอย่างเหมือนที่เขาทำหรือไม่ เพื่อนของเราอาจจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาดูแลลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาไปว่ายน้ำหลังเลิกงานจึงมีเงินขนาดนั้นได้ จะทำอย่างนั้นหรือไม่

เปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ แทนที่จะจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไป เราอาจเปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ โดยเปรียบเทียบตัวเราตอนนี้กับตัวเราในอีก 1 ปีข้างหน้า ถ้าเราลงมือทำอะไรบางอย่าง เช่น ออกวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 1 ปีผ่านไปเราน่าจะหุ่นดีขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ดีขนาดคนข้างบ้านก็ตาม

การเปรียบเทียบจะเป็นปัญหาเมื่อ มันไม่สมเหตุผล มากเกินไป บ่อยเกินไป

ลดการเปรียบเทียบลงแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น


ที่มา : ผศ.น.พ.สเปญ อุ่นอนงค์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี

นิทานธรรมะ ฝึกอีคิว

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
จิตของคนเรานั้นเหมือนลิง
เราจึงเรียนรู้เรื่องของจิตใจของเราได้มากมาย จากพฤติกรรมของลิง

ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อใด
มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายไปในที่สุด
จนกลายเป็นว่า "กะปิถึงจะร้าย" ก็ไม่ร้ายเท่าความเกลียดกะปิ
ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะไม่ใช่เพราะกะปิ
แต่เป็นความจงเกลียดจงชังกะปิต่างหาก

สิ่งที่เราเกลียดนั้น
บ่อยครั้งไม่น่ากลัวเท่าความเกลียดชังในจิตใจเรา
ความเกลียดชัง หรือพูดให้ถูก คือความรู้สึกอยากผลักใส
ซึ่งรวมทั้งความโกรธและความกลัว
แต่นั้นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความจริงเท่านั้น
นอกจากความอยากผลักไสแล้ว
ความยึดติดเป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังไม่แพ้กัน

กลับมาที่ลิงจอมซนอีกที
ในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน
เพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง
โดยใช้กล่องไม้ที่มีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ
พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้

ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิง เป็นเหยื่อล่อ
วันดีคืนดี ลิงมาที่สวน
เห็นถั่วอยู่ในกล่อง เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว
แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง
เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้
ลิงพยายามดึงมือเท่าไหร่ ก็ไม่ออก
พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้
เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว สุดท้ายก็ถูกคนจับได้

ลิงบางตัวมีลูกเล็กบนหลัง คนก็จะฆ่าแม่ เพื่อพรากลูกของมันไปขาย
ลูกลิงหลายตัวเสียชีวิตเพราะแม่ตาย
เรียกว่า เสียชีวิตของตนและลูก เพราะกำถั่วไ้ว้ไม่ปล่อย

มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราใฝ่ฝันและอยากได้
จนถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่น
เวลาประสบกับปัญหา
เพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดไว้เสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย
แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย
จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย ไม่คุ้มกับสิ่งที่ยึดติด


ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น
ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
มันก็จะเบาทางไปได้เยอะ
บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น
หากแต่เป็นทางออกของปัญหาเลยทีเดียว

ความจริงการอยากผลักไสอะไรสักอย่าง
ก็เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง
ทั้งๆที่ลิงพยายามถู กำจัดกลิ่นกะปิไปจากมือ
ก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดม หากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในหลายๆกรณี ความทุกข์ไม่ได้มาจากไหน
หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย
ดังลิงหวงถั่วนั่นเอง

พ่อแม่รังแกฉัน

มี ซินแสแก่เฒ่าได้เล่าไข
ถึงเรื่องงิ้วว่าเล่นกันเช่นไร
มีข้อใหญ่ นั้นก็เป็นเช่นละคร

แต่ข้อหนึ่งแกเล่าเขาประสงค์
มุ่งจำนงในข้าง เป็นทางสอน
ชี้ทางธรรม์มรรยาทแก่ราษฎร
เหมือนละครสุภาษิตไม่ผิดกัน

เราบวชนาคโกนจุกในยุคก่อน
มีกล่าวกลอนเพราะพริ้งทำมิ่งขวัญ
การ ขันหมากยุคเก่าท่านเล่ากัน
มีสวดฉันท์เรียกว่าสวดมาไลย์


เค้า ก็คือท่านหวังจะสั่งสอน
แต่ผันผ่อนตามนิยมสมสมัย
มีเฮฮาพาสนุกเครื่อง ปลุกใจ
สมกับได้มีงานการมงคล

ในหมู่บ้านย่านกลางเมื่อปางก่อน
มี โรงสอนธรรมทานการกุศล
เพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญาประชาชน
ในตำบลอัต คัตไกลวัดวา


เรียกศาลาโรงธรรมประจำบ้าน
เหมือนสถานที่ฝึก ทางศึกษา
บางคราวมีการกุศลปนเฮฮา
เพื่อให้พาเพลิดเพลินเจริญใจ

ฝ่ายจีนเขาได้มีอย่างที่ว่า
เอางิ้วมาฝึกหัดดัดนิสัย
ย่อมดูด ดื่มซึมซาบปลาบปลื้มใจ
เหมือนอย่างได้รู้เห็นที่เป็นจริง


งิ้ว เรื่องหนึ่งแกเล่าครั้งเยาว์อยู่
ได้ไปดูจำไว้ได้ทุกสิ่ง
เกาะในจิต ติดแน่นแม้นกับปลิง
เลยเป็นสิ่งสอนใจจนใหญ่มา

ตามเรื่องนั้น ว่ามีเศรษฐีหนึ่ง
เป็นคนซึ่งสูงชาติวาสนา
มีทรัพย์สินเหลือล้นคณนา
มี บ้างช่องแน่นหนาด้วยข้าไท


ท่านเศรษฐีมีบุตรสุดที่รัก
แก ฟูมฟักใฝ่จิตพิสมัย
บุตรคนเดียวแสนจะห่วงดังดวงใจ
หวังจะให้สืบวงศ์ ดำรงไป

มีโรงเรียนไกลบ้านอาจารย์สอน
กลัวลูกอ่อนลำบากไม่พราก ได้
อุตส่าห์จ้างครูบามาแต่ไกล
ให้สอนในบ้านตนสู้ปรนปรือ


ฝ่าย ลูกเรียนผู้เดียวให้เปลี่ยวจิต
มักเบือนบิดเบื่อชังเรื่องหนังสือ
อยาก ได้เพื่อนพูดจาและหารือ
พ่อก็อือออตามด้วยความรัก

เกณฑ์พวก เด็กในบ้านให้อ่านด้วย
ก็เพื่อช่วยชวนใจให้สมัคร
ครั้นมีเพื่อนเรียน ล้อมอยู่พร้อมพรัก
กลับชวนชักเล่นกันไม่หมั่นเรียน


ครูก็ ดีจี้ไชมิได้หยุด
แกเห็นสุดเอาใจจึงได้เฆี่ยน
หวังให้กลัวอาญาตั้ง หน้าเพียร
แต่กลับเพี้ยนผิดคาดถึงขาดกัน

คือบุตรท่านเศรษฐี หนีไปหา
พ่อฟ้องว่า ครูนี้แกตีฉัน
ปลอบให้เรียนก็ไม่ไปจนใจครัน
ต้อง เป็นอันเลิกกับครูที่อยู่มา


อุตส่าห์จ้างครูใหม่ตามใจลูก
แต่ ไม่ถูกใจบุตรสุดจะหา
ครูคนนั้นฉันเข็ดไม่เมตตา
คนนี้ว่าจู้จี้พิรี้ พิไร

แต่เปลี่ยนครูอยู่ฉะนี้ไม่มีเหมาะ
มักทะเลาะเลิกเรียน ต้องเปลี่ยนใหม่
พวกครูๆ เข็ดกลัวกันทั่วไป
ถึงจะให้เงินมากไม่อยาก เอา


บิดาผู้รักบุตรสุดจะกลุ้ม
ลูกเป็นหนุ่มใหญ่โตยังโง่ เง่า
เที่ยวจ้างครูอยู่...งต่างลำเนา
ค่าจ้างเท่าไรนั้นไม่พรั่นกลัว

แต่ก็ไม่ยืดไปเท่าไรนัก
ประเดี๋ยวชักเหหันต้องสั่นหัว
เผอิญมา ปะครูที่รู้ตัว
แกหวังชั่วค่าสอนสู้ผ่อนตาม


ศิษย์จะรู้ เท่าไรไม่ธุระ
ชื่อเสียงจะเสียไปก็ไม่ขาม
ศิษย์ผู้ใดตั้งหน้าพยายาม
สอน ให้ตามแต่รักสมัครเรียน

ครูคนนี้ถูกใจอยู่ได้ยืด
ถึงจะจืดจาง การเรื่องอ่านเขียน
ก็ถูกจิตศิษย์ตนย่อมวนเวียน
อยู่จำเนียรโตใหญ่ไร้ วิชา


ฝ่ายพ่อแม่รักบุตรสุดจะรัก
บุตรสมัครทางไหนมิได้ว่า
ใช้ เงินทองกอบกำไม่นำพา
อยู่ไม่ช้าแกก็ตายทำลายชนม์

ทรัพย์ สมบัติมรดกตกแก่ลูก
ไม่ต้องปลูกเปลืองแรงแสวงผล
มีเพื่อนมาฮาฮือ นับถือตน
เฝ้าแต่ขนทรัพย์จ่ายสบายจริง


เอาอะไรได้ทุกอย่าง ช่างสะดวก
จะหยิบหมวกหมวกรี่เหมือนผีสิง
ทุกอย่างรู้เอาใจไม่ประวิง
ดู เหมือนชิงกันมาคราต้องการ

ไม่ช้านักทรัพย์ลดหมดสะดวก
จะหยิบ หมวกหมวกกระเดียดข้างเกียจคร้าน
ถ้าเผลอหน่อยคอยหนีตะลีตะลาน
วิ่ง เข้าร้านโรงจำนำไม่อำลา


เพื่อนทั้งมวลล้วนหายเหมือนตายจาก
ที่ มีมากคือสหายพวกนายหน้า
บ้านของท่านขายเท่าไร? ให้ราคา
ผมช่วยค้าขาย ให้ด้วยไมตรี

เพื่อนสนุกพลุกพล่านขายบ้านช่อง
พอเงินทองหมด เรียบก็เงียบจี๋
ต่อนี้ไปใครเยือนคือเพื่อนดี
ไม่เช่นนี้เพื่อนโหล่ โง่ร-ยำ


บุตรเศรษฐีเป็นมาถึงครานี้
ไม่เห็นมีมิตรสหาย มากรายกล้ำ
ผิวผู้ดีมีกระดากพะอากพะอำ
จะคิดทำการอะไรก็ไม่เป็น

ต้องตรำตรากจากย่านถิ่นบ้านเก่า
ขอทานเขาเลี้ยงตนด้วยข้นเข็ญ
พัก สถานศาลเจ้าทุกเช้าเย็น
ค่อยคิดเห็นโทษตัวที่ชั่วมา


คิด ถึงเรื่องเก่าแก่พ่อแม่รัก
สู้ฟูมฟักใฝ่ฝึกให้ศึกษา
ตามใจลูกเหลือล้น คณนา
ทุกสิ่งสารพัดไม่ขัดใจ

คิดถึงครูผู้สอนแต่ก่อนเก่า
บาง คนเฝ้าฝึกฝนพ้นวิสัย
บางคนเฝ้าจู้จี้พิรี้พิไร
ไม่ถูกใจฟ้องพ่อก็ออ อือ


จนเหลวไหลได้เข็ญถึงเช่นนี้
พ่อแม่ที่รักลูกทำถูกหรือ
สิ่ง ใดพาเสียคนกลับปรนปรือ
ร้องไห้ฮือบ่นว่าเหมือนบ้าบอ

วันหนึ่ง ไปถึงถิ่นบ้านซินแส
ก็เดินแร่เข้าไปหาตรงหน้าหมอ
ร้องขอทานทันทีไม่ รีรอ
ฝ่ายท่านหมอมองหน้าไม่ว่าไร


ลงท้ายแกกลอกหน้าหาว่า หลอก
เฮ้ย. เจ้าวอกเอ็งอย่ามาไถล
หลอกดูลูกสาวข้าหรือว่าไร
หรือ เข้าใจว่า...ไม่รู้ที

ข้าหมอดูรู้จักลักษณะ
อย่างเมิงน่ะบอก เพศเป็นเศรษฐี
รูปลักษณ์พักตร์เจ้าเผ่าผู้ดี
ทำเช่นนี้ตั้งใจอย่างไร กัน


ลูกเศรษฐีฟังว่าน้ำตาหลั่ง
ตอบเสียงดัง "พ่อแม่รังแกฉัน!"
ร้องไห้โฮซบหน้าพลางจาบัลย์
คนบ้านนั้นต่างพากันมา ดู

ท่านเจ้าข้า! พ่อแม่รังแกฉัน
เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู
ฉัน ทำผิดคิดร-ยำกลับค้ำชู
จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร


ท่านทาย ฉันนั้นถูกลูกเศรษฐี
ผู้กลีเลวกว่าบรรดาไพร่
ซึ่งยังรู้กอบการงานใด ๆ
เลี้ยง ชีพได้เพียงพอไม่ขอทาน

โอ๊ย! ยิ่งเล่ายิ่งช้ำระกำเหลือ
โปรด จุนเจือเถอะท่านหมอขอข้าวสาร
เหมือนช่วยชีพข้าเจ้าให้เนานาน
จักเป็น การบุญล้นมีผลงาม


ฝ่ายท่านหมอฟังเล่าสิ้นเค้าเงื่อน
แกจึง เอื้อนโอษฐ์มีวจีถาม
ข้าฟังเจ้าเล่าไปก็ได้ความ
จึงเห็นตามพ่อแม่ รังแกตรง

เข็ดหรือไม่ใครรังแกอย่างแม่พ่อ
หรือว่าพอทนดอกบอก ประสงค์
โอ๊ย! หนเดียวชีวิตแทบปลิดปลง
ถ้าซ้ำสองต้องลงอวิจี


อย่ารังแกอีกเลยลูกเคยเข็ด
ขอจงเมตตาเถิดประเสริฐศรี
ท่านหมอ ฟังยิ้มเยื้อนเอื้อนวจี
เจ้าว่าดีสมจริงทุกสิ่งอัน

ข้าไม่ อยากรังแกเช่นแม่พ่อ
ที่เจ้าขอข้าไม่อ่อนตามผ่อนผัน
แม้เจ้าขอสิ่งใด ข้าให้ปัน
ก็เป็นอันข้าทำซ้ำรังแก


เจ้าจะตกอวิจีไม่ดีดอก
เจ้า จะออกปากพ้ออย่างพ่อแม่
ลูกเศรษฐีตกตะลึงทะลึ่งแล
โอ๊ย! ผมแย่ถูกล่อลงบ่อตม

เมื่อไม่ให้ใครจะว่าเจ้าข้าเอ๋ย
นี่กลับ เย้ยยกคำทิ่มตำผม
จะไล่ไปก็ไม่ไล่ให้ระทม
ว่าแล้วซมซานกลับด้วยคับใจ


หมอขยับจับบ่าช้าซีเจ้า
คำที่เล่าบอกข้าน่าเลื่อมใส
พ่อแม่รัก ลูกผิดชนิดไร
เขาก็ได้ทุกข์ถมจนล้มตาย

เวลานั้นตัวเจ้ายัง เยาว์อยู่
จึงไม่รู้ยั้งตนจนฉิบหาย
เดี๋ยวนี้เจ้ารู้สึกสำนึกกาย
จง ขวนขวายฝึกหัดดัดสันดาน


ข้าจักเป็นพ่อแม่ช่วยแก้ให้
ต้อง ตามใจแต่ข้าจะว่าขาน
ถ้ายอมตามข้าว่าไม่ช้านาน
จักไม่ต้องขอทานเขาต่อ ไป

ลงท้ายลูกเศรษฐียินดีรับ
ไปอยู่กับซินแสแก้นิสัย
ไม่ ว่ามีกิจการสถานใด
แกใช้ให้ทำสิ้นจนชินการ


แกปรานีจี้ไช ด้วยใจรัก
จนรู้จักค้าขายหลายสถาน
อยู่กับหมอต่อมาไม่ช้านาน
ก็พ้น การทุรพลเป็นคนแคลน


ชาวเราเอ๋ยพ่อแม่มุ่งแต่รัก
สู้ ฟูมฟักในบุตรนั้นสุดแสน
แต่ความรักมักเดินจนเกินแกน
เลยเข้าแดนทุกข์ ถมระทมกาย


ดังเศรษฐีรักบุตรสุดสวาท
บุตรอุบาทว์มิได้รัก สมัครหมาย
เอาแต่ใจใฝ่ตามความสบาย
พ่อแม่ตายก็เพราะตรมระทมใจ

ยัง มิหนำซ้ำว่าด่ากระดูก
หาว่าถูกพ่อแม่รังแกได้
แต่ชาวเราเนาเขตประเทศ ไทย
คงจะไม่พบปะขอประกัน


เพราะพระราชบัญญัติอุบัติแล้ว
เหมือน ดวงแก้วส่องสว่างทางสวรรค์
บังคับให้ศึกษาทั่วหน้ากัน
พระคุณธรรม์ข้อ นี้ไม่มีเทียม

ที่สุดนี้ชาวเราน้อมเกล้าฯ นบ
พระจอมภพ ภูบดินทร์พระปิ่นเสียม
พระปลุกใจไทยทั่วตั้งตัวเตรียม
ทุกอย่างเยี่ยม ยิ่งคุณวิบุลเอย.....

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การเตรียมความพร้อมของลูกก่อนเรียนชั้นประถมหนึ่ง


ภาพจากอินเตอร์เนต

สัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันไปประชุมที่โรงเรียนลูก เกี่ยวกับการเรียนต่อในชั้นอนุบาล ๓ ซึ่งมีความแตกต่างกับการเรียนชั้นอนุบาล ๑ และ ๒ ค่ะ เพราะจุดประสงค์ของการเรียนชั้นอนุบาล ๓ นั้น คือ การเตรียมความพร้อมของเด็ก ให้พร้อมรับมือกับการเรียน แบบที่ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ในชั้น ประถมหนึ่ง เป็นต้นไป

ดังนั้นเป้าหมายในชั้นอนุบาลสาม คือ การฝึกทักษะเด็กในทุกๆด้าน เช่น

- การสื่อสาร เด็กต้องสามารถได้เข้าใจ สามารถฟังและจับใจความได้ เพราะทักษะการฟังและจับใจความให้เข้าใจ จะใช้ในการฟังคำอธิบายบทเรียนของคุณครูในชั้นเรียน ฟังแล้วสามารถตอบคำถามได้ สามารถปฎิบัติตามที่คุณครูสั่งการบ้านได้ครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง

ทักษะการเขียน คือ ต้องสามารถเขียนประโยคง่ายๆได้ เขียนได้ถูกต้อง สะกดได้ถูกต้อง เพื่อใช้ในการจดการบ้าน จดบันทึกที่คุณครูสอนในชั้นเรียน และการตอบการบ้าน การทำข้อสอบ

ทักษะการอ่าน คือ เด็กๆต้องสามารถอ่านและจับใจความได้ ว่าในหนัังสือ นั้นพูดอะไร ใครทำ อะไร ที่ไหน อย่างไร เพื่อใช้ในการเข้าใจหนังสือเรียน หรือ สิ่งที่จดมา อ่านแล้วเข้าใจปฎิบัติได้ และยังต้องฝึกอ่านออกเสียง ให้ชัดเจน เพราะหากออกเสียงไม่ชัด เวลาฟังครูพูด แล้วจด ก็จดผิดจดถูก เพราะสะกดไม่ถูก

ทักษะการพูด คือ สามารถสื่อสารสิ่งที่คิด สิ่งที่ต้องการออกมาได้ ให้คุณครู และผู้อื่นเข้าใจ เพราะหากพูดไม่เป็น ไม่สามารถสื่อสารในสิ่งที่คิดให้คนอื่นเข้าใจได้ ก็ยากจะประเมินว่าเด็กเข้าใจบทเีรียนมากน้อยเพียงใด

- ทักษะด้านคณิต เท่าที่จำได้ แต่ไม่ครบนะคะ คือ เด็กๆจะต้องเรียนรู้เรื่อง

ระบบเงินตรา ว่ามีเหรียญกี่บาท มีธนบัตรอะไรบ้าง ระบบการซื้อขายพีื้นฐาน ทอนเงิน
เรื่องของเวลา สามารถดูนาฬิกาเป็นบอกเวลาได้
เข้าใจเรื่องระยะทาง ใกล้ ไกล และมาตรวัดแบบง่ายๆ รวมทั้งการวัดด้วยไม้บรรทัด
เข้าใจเรื่องน้ำหนัก หนัก เบา และมาตรวัดน้ำหนัก แบบง่ายๆ รวมทั้งเรื่องการชั่งนำ้หนัก
เข้าใจเรื่องรูปทรง สองมิติ สามมิติ เช่น วงกลม ทรงกลม สามเหลี่ยม ปิรามิต และสี่เหลี่ยมแบบต่างๆ หลายเหลี่ยม เป็นต้น และสามารถเชื่อมโยงกับของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น หน้าต่างเป็นรูปทรงอะไร นาฬิกาทรงแบบนั้น แบบนี้

- ทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เท่าที่จำได้ ก็เช่น การเชื่อมโยงกับธรรมชาติืรอบๆตัว เช่น วงจรชีวิตของมดและแมลง เรื่องใบไม้ เรื่องนำ้ หรือ ฝน อะไรแบบนี้ ซึ่งเท่าที่สังเกตจะรู้สึกว่า เป็นการฝึกวิธีเรียนรู้จากการสังเกต สิ่งรอบตัว ทำให้เกิดกระบวนการคิด และเข้าใจ และจดจำ

- ทักษะด้านสังคม เท่าที่สังเกต คือ ในวัยอนุบาลหนึ่งและสอง ก็อาจจะเรียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง อวัยวะ แล้วมาที่คนในครอบครัว สัตว์เลี้ยง แต่ในอนุบาลสาม จะเริ่มเชื่อมโยงออกมาที่โรงเรียน คนในสังคม เช่น ใครทำอาชีพ อะไร ทำหน้าที่อะไรบ้าง แบบง่ายๆ ทำให้เด็กเรียนรู้เรื่องโครงสร้างสังคม แบบง่ายๆ ว่า ในครอบครัว มีญาติพี่น้อง ในสังคมรอบๆ มีเพื่อนบ้าน ทำหน้าที่ต่างๆ

-ทักษะด้านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ก็มักจะผ่านด้านงานศิลปะ ที่ให้เด็กๆคิดเอง และถ่ายทอดออกมาด้วยการวาด และอาจจะมีการฝึกทำแผนภูมิ เพื่อเชื่อมโยงความคิด