วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พ่อแม่รังแกฉัน

มี ซินแสแก่เฒ่าได้เล่าไข
ถึงเรื่องงิ้วว่าเล่นกันเช่นไร
มีข้อใหญ่ นั้นก็เป็นเช่นละคร

แต่ข้อหนึ่งแกเล่าเขาประสงค์
มุ่งจำนงในข้าง เป็นทางสอน
ชี้ทางธรรม์มรรยาทแก่ราษฎร
เหมือนละครสุภาษิตไม่ผิดกัน

เราบวชนาคโกนจุกในยุคก่อน
มีกล่าวกลอนเพราะพริ้งทำมิ่งขวัญ
การ ขันหมากยุคเก่าท่านเล่ากัน
มีสวดฉันท์เรียกว่าสวดมาไลย์


เค้า ก็คือท่านหวังจะสั่งสอน
แต่ผันผ่อนตามนิยมสมสมัย
มีเฮฮาพาสนุกเครื่อง ปลุกใจ
สมกับได้มีงานการมงคล

ในหมู่บ้านย่านกลางเมื่อปางก่อน
มี โรงสอนธรรมทานการกุศล
เพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญาประชาชน
ในตำบลอัต คัตไกลวัดวา


เรียกศาลาโรงธรรมประจำบ้าน
เหมือนสถานที่ฝึก ทางศึกษา
บางคราวมีการกุศลปนเฮฮา
เพื่อให้พาเพลิดเพลินเจริญใจ

ฝ่ายจีนเขาได้มีอย่างที่ว่า
เอางิ้วมาฝึกหัดดัดนิสัย
ย่อมดูด ดื่มซึมซาบปลาบปลื้มใจ
เหมือนอย่างได้รู้เห็นที่เป็นจริง


งิ้ว เรื่องหนึ่งแกเล่าครั้งเยาว์อยู่
ได้ไปดูจำไว้ได้ทุกสิ่ง
เกาะในจิต ติดแน่นแม้นกับปลิง
เลยเป็นสิ่งสอนใจจนใหญ่มา

ตามเรื่องนั้น ว่ามีเศรษฐีหนึ่ง
เป็นคนซึ่งสูงชาติวาสนา
มีทรัพย์สินเหลือล้นคณนา
มี บ้างช่องแน่นหนาด้วยข้าไท


ท่านเศรษฐีมีบุตรสุดที่รัก
แก ฟูมฟักใฝ่จิตพิสมัย
บุตรคนเดียวแสนจะห่วงดังดวงใจ
หวังจะให้สืบวงศ์ ดำรงไป

มีโรงเรียนไกลบ้านอาจารย์สอน
กลัวลูกอ่อนลำบากไม่พราก ได้
อุตส่าห์จ้างครูบามาแต่ไกล
ให้สอนในบ้านตนสู้ปรนปรือ


ฝ่าย ลูกเรียนผู้เดียวให้เปลี่ยวจิต
มักเบือนบิดเบื่อชังเรื่องหนังสือ
อยาก ได้เพื่อนพูดจาและหารือ
พ่อก็อือออตามด้วยความรัก

เกณฑ์พวก เด็กในบ้านให้อ่านด้วย
ก็เพื่อช่วยชวนใจให้สมัคร
ครั้นมีเพื่อนเรียน ล้อมอยู่พร้อมพรัก
กลับชวนชักเล่นกันไม่หมั่นเรียน


ครูก็ ดีจี้ไชมิได้หยุด
แกเห็นสุดเอาใจจึงได้เฆี่ยน
หวังให้กลัวอาญาตั้ง หน้าเพียร
แต่กลับเพี้ยนผิดคาดถึงขาดกัน

คือบุตรท่านเศรษฐี หนีไปหา
พ่อฟ้องว่า ครูนี้แกตีฉัน
ปลอบให้เรียนก็ไม่ไปจนใจครัน
ต้อง เป็นอันเลิกกับครูที่อยู่มา


อุตส่าห์จ้างครูใหม่ตามใจลูก
แต่ ไม่ถูกใจบุตรสุดจะหา
ครูคนนั้นฉันเข็ดไม่เมตตา
คนนี้ว่าจู้จี้พิรี้ พิไร

แต่เปลี่ยนครูอยู่ฉะนี้ไม่มีเหมาะ
มักทะเลาะเลิกเรียน ต้องเปลี่ยนใหม่
พวกครูๆ เข็ดกลัวกันทั่วไป
ถึงจะให้เงินมากไม่อยาก เอา


บิดาผู้รักบุตรสุดจะกลุ้ม
ลูกเป็นหนุ่มใหญ่โตยังโง่ เง่า
เที่ยวจ้างครูอยู่...งต่างลำเนา
ค่าจ้างเท่าไรนั้นไม่พรั่นกลัว

แต่ก็ไม่ยืดไปเท่าไรนัก
ประเดี๋ยวชักเหหันต้องสั่นหัว
เผอิญมา ปะครูที่รู้ตัว
แกหวังชั่วค่าสอนสู้ผ่อนตาม


ศิษย์จะรู้ เท่าไรไม่ธุระ
ชื่อเสียงจะเสียไปก็ไม่ขาม
ศิษย์ผู้ใดตั้งหน้าพยายาม
สอน ให้ตามแต่รักสมัครเรียน

ครูคนนี้ถูกใจอยู่ได้ยืด
ถึงจะจืดจาง การเรื่องอ่านเขียน
ก็ถูกจิตศิษย์ตนย่อมวนเวียน
อยู่จำเนียรโตใหญ่ไร้ วิชา


ฝ่ายพ่อแม่รักบุตรสุดจะรัก
บุตรสมัครทางไหนมิได้ว่า
ใช้ เงินทองกอบกำไม่นำพา
อยู่ไม่ช้าแกก็ตายทำลายชนม์

ทรัพย์ สมบัติมรดกตกแก่ลูก
ไม่ต้องปลูกเปลืองแรงแสวงผล
มีเพื่อนมาฮาฮือ นับถือตน
เฝ้าแต่ขนทรัพย์จ่ายสบายจริง


เอาอะไรได้ทุกอย่าง ช่างสะดวก
จะหยิบหมวกหมวกรี่เหมือนผีสิง
ทุกอย่างรู้เอาใจไม่ประวิง
ดู เหมือนชิงกันมาคราต้องการ

ไม่ช้านักทรัพย์ลดหมดสะดวก
จะหยิบ หมวกหมวกกระเดียดข้างเกียจคร้าน
ถ้าเผลอหน่อยคอยหนีตะลีตะลาน
วิ่ง เข้าร้านโรงจำนำไม่อำลา


เพื่อนทั้งมวลล้วนหายเหมือนตายจาก
ที่ มีมากคือสหายพวกนายหน้า
บ้านของท่านขายเท่าไร? ให้ราคา
ผมช่วยค้าขาย ให้ด้วยไมตรี

เพื่อนสนุกพลุกพล่านขายบ้านช่อง
พอเงินทองหมด เรียบก็เงียบจี๋
ต่อนี้ไปใครเยือนคือเพื่อนดี
ไม่เช่นนี้เพื่อนโหล่ โง่ร-ยำ


บุตรเศรษฐีเป็นมาถึงครานี้
ไม่เห็นมีมิตรสหาย มากรายกล้ำ
ผิวผู้ดีมีกระดากพะอากพะอำ
จะคิดทำการอะไรก็ไม่เป็น

ต้องตรำตรากจากย่านถิ่นบ้านเก่า
ขอทานเขาเลี้ยงตนด้วยข้นเข็ญ
พัก สถานศาลเจ้าทุกเช้าเย็น
ค่อยคิดเห็นโทษตัวที่ชั่วมา


คิด ถึงเรื่องเก่าแก่พ่อแม่รัก
สู้ฟูมฟักใฝ่ฝึกให้ศึกษา
ตามใจลูกเหลือล้น คณนา
ทุกสิ่งสารพัดไม่ขัดใจ

คิดถึงครูผู้สอนแต่ก่อนเก่า
บาง คนเฝ้าฝึกฝนพ้นวิสัย
บางคนเฝ้าจู้จี้พิรี้พิไร
ไม่ถูกใจฟ้องพ่อก็ออ อือ


จนเหลวไหลได้เข็ญถึงเช่นนี้
พ่อแม่ที่รักลูกทำถูกหรือ
สิ่ง ใดพาเสียคนกลับปรนปรือ
ร้องไห้ฮือบ่นว่าเหมือนบ้าบอ

วันหนึ่ง ไปถึงถิ่นบ้านซินแส
ก็เดินแร่เข้าไปหาตรงหน้าหมอ
ร้องขอทานทันทีไม่ รีรอ
ฝ่ายท่านหมอมองหน้าไม่ว่าไร


ลงท้ายแกกลอกหน้าหาว่า หลอก
เฮ้ย. เจ้าวอกเอ็งอย่ามาไถล
หลอกดูลูกสาวข้าหรือว่าไร
หรือ เข้าใจว่า...ไม่รู้ที

ข้าหมอดูรู้จักลักษณะ
อย่างเมิงน่ะบอก เพศเป็นเศรษฐี
รูปลักษณ์พักตร์เจ้าเผ่าผู้ดี
ทำเช่นนี้ตั้งใจอย่างไร กัน


ลูกเศรษฐีฟังว่าน้ำตาหลั่ง
ตอบเสียงดัง "พ่อแม่รังแกฉัน!"
ร้องไห้โฮซบหน้าพลางจาบัลย์
คนบ้านนั้นต่างพากันมา ดู

ท่านเจ้าข้า! พ่อแม่รังแกฉัน
เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู
ฉัน ทำผิดคิดร-ยำกลับค้ำชู
จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร


ท่านทาย ฉันนั้นถูกลูกเศรษฐี
ผู้กลีเลวกว่าบรรดาไพร่
ซึ่งยังรู้กอบการงานใด ๆ
เลี้ยง ชีพได้เพียงพอไม่ขอทาน

โอ๊ย! ยิ่งเล่ายิ่งช้ำระกำเหลือ
โปรด จุนเจือเถอะท่านหมอขอข้าวสาร
เหมือนช่วยชีพข้าเจ้าให้เนานาน
จักเป็น การบุญล้นมีผลงาม


ฝ่ายท่านหมอฟังเล่าสิ้นเค้าเงื่อน
แกจึง เอื้อนโอษฐ์มีวจีถาม
ข้าฟังเจ้าเล่าไปก็ได้ความ
จึงเห็นตามพ่อแม่ รังแกตรง

เข็ดหรือไม่ใครรังแกอย่างแม่พ่อ
หรือว่าพอทนดอกบอก ประสงค์
โอ๊ย! หนเดียวชีวิตแทบปลิดปลง
ถ้าซ้ำสองต้องลงอวิจี


อย่ารังแกอีกเลยลูกเคยเข็ด
ขอจงเมตตาเถิดประเสริฐศรี
ท่านหมอ ฟังยิ้มเยื้อนเอื้อนวจี
เจ้าว่าดีสมจริงทุกสิ่งอัน

ข้าไม่ อยากรังแกเช่นแม่พ่อ
ที่เจ้าขอข้าไม่อ่อนตามผ่อนผัน
แม้เจ้าขอสิ่งใด ข้าให้ปัน
ก็เป็นอันข้าทำซ้ำรังแก


เจ้าจะตกอวิจีไม่ดีดอก
เจ้า จะออกปากพ้ออย่างพ่อแม่
ลูกเศรษฐีตกตะลึงทะลึ่งแล
โอ๊ย! ผมแย่ถูกล่อลงบ่อตม

เมื่อไม่ให้ใครจะว่าเจ้าข้าเอ๋ย
นี่กลับ เย้ยยกคำทิ่มตำผม
จะไล่ไปก็ไม่ไล่ให้ระทม
ว่าแล้วซมซานกลับด้วยคับใจ


หมอขยับจับบ่าช้าซีเจ้า
คำที่เล่าบอกข้าน่าเลื่อมใส
พ่อแม่รัก ลูกผิดชนิดไร
เขาก็ได้ทุกข์ถมจนล้มตาย

เวลานั้นตัวเจ้ายัง เยาว์อยู่
จึงไม่รู้ยั้งตนจนฉิบหาย
เดี๋ยวนี้เจ้ารู้สึกสำนึกกาย
จง ขวนขวายฝึกหัดดัดสันดาน


ข้าจักเป็นพ่อแม่ช่วยแก้ให้
ต้อง ตามใจแต่ข้าจะว่าขาน
ถ้ายอมตามข้าว่าไม่ช้านาน
จักไม่ต้องขอทานเขาต่อ ไป

ลงท้ายลูกเศรษฐียินดีรับ
ไปอยู่กับซินแสแก้นิสัย
ไม่ ว่ามีกิจการสถานใด
แกใช้ให้ทำสิ้นจนชินการ


แกปรานีจี้ไช ด้วยใจรัก
จนรู้จักค้าขายหลายสถาน
อยู่กับหมอต่อมาไม่ช้านาน
ก็พ้น การทุรพลเป็นคนแคลน


ชาวเราเอ๋ยพ่อแม่มุ่งแต่รัก
สู้ ฟูมฟักในบุตรนั้นสุดแสน
แต่ความรักมักเดินจนเกินแกน
เลยเข้าแดนทุกข์ ถมระทมกาย


ดังเศรษฐีรักบุตรสุดสวาท
บุตรอุบาทว์มิได้รัก สมัครหมาย
เอาแต่ใจใฝ่ตามความสบาย
พ่อแม่ตายก็เพราะตรมระทมใจ

ยัง มิหนำซ้ำว่าด่ากระดูก
หาว่าถูกพ่อแม่รังแกได้
แต่ชาวเราเนาเขตประเทศ ไทย
คงจะไม่พบปะขอประกัน


เพราะพระราชบัญญัติอุบัติแล้ว
เหมือน ดวงแก้วส่องสว่างทางสวรรค์
บังคับให้ศึกษาทั่วหน้ากัน
พระคุณธรรม์ข้อ นี้ไม่มีเทียม

ที่สุดนี้ชาวเราน้อมเกล้าฯ นบ
พระจอมภพ ภูบดินทร์พระปิ่นเสียม
พระปลุกใจไทยทั่วตั้งตัวเตรียม
ทุกอย่างเยี่ยม ยิ่งคุณวิบุลเอย.....

ไม่มีความคิดเห็น: