วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ตกผลึก...จากสัมมนา เคล็ด (ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน (2)


เขียนมาถึงจุดนี้  คนๆหลายๆคน อาจจะยิ่งหดหู่ หลายๆคนมองไม่เห็นหนทางว่าจะเก็บเงินได้อย่างไร  หนำซ้ำหนี้สินก็อีรุงตุงนัง  ไม่อยากอ่านต่อไป  เพราะเกรงจะรับสภาพความเป็นจริงของความทุกข์ที่รออยู่ไม่ไหว   แต่อยากให้อดทนเข้มแข็งสักนิด   แม้เรายังไม่มีเงินเก็บเลย เราก็เริ่มต้นได้ค่ะ  แม้มีหนี้ เราก็ต้องเริ่มต้นเก็บ  เริ่มได้ทุกคน และต้องพลิกชีวิตในทันที  ในตอนต่อๆไป จะเล่าให้ฟังแบบคร่าวๆ เริ่มต้นได้  อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ขั้นเทพ แต่มันทำให้เรามีก้าวต่อไปที่มั่นคงได้

สัจจธรรมอีกเรื่องนึงของชีวิตมนุษย์ นอกจากความชรา ที่กล่าวไปแล้ว  ยังมีเรื่องความเจ็บป่วยของวัยและสังขารที่ร่วงโรย  ตลอดจนสภาพมลภาวะต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ บ้างก็รักษาได้  บ้างก็รักษาไม่ได้   ค่ารักษาพยาบาลเดี๋ยวนี้ ก็แพงกว่าสมัยก่อนมาก  การรักษาตัวในโรงพยาบาลดีๆ  ใช้เงินในการรักษาต่อครั้ง เป็นแสน  เข็าโรงพยาบาลไม่กี่วัน หมดเป็นแสน เป็นเรื่องง่ายๆ   4 ปีก่อนในสมัยทีทำงานที่ฮานอย  แค่ค่าน้ำเกลือขวดนึง นอนในคลีนิตต่างชาติแห่งนึง  เสียค่ารักษาพยาบาลไป USD400  หรือ 12,000 บาท   ดังนั้นการที่สมาชิกครอบครัวป่วยขึ้นมา  ไม่ว่าจะเป็นเรา หรือ ลูก หรือ คนที่เรารัก ป้วย  เราก็ย่อมอยากรักษาให้เต็มที่ ให้เขาพ้นทุกข์ทรมารให้เร็วที่สุด  จะต้องเสียเงินเท่าไหร่เราก็พร้อม   แต่สิ่งนี้ ก็ทำให้เงินสำรองที่เราเตรียมไว้ ร่อยหรออย่างรวดเร็ว และอาจจะไม่พอใช้  ยิ่งคนที่ไม่ได้ตระเตรียมตัวไว้   ต้องพึ่งพาสวัสดิการภาครัฐ  ต้องไปนั่งรอคิวยาวเหยียด รอหมอ รอห้อง  สร้างความเจ็บปวดทรมารให้คนป่วย หลายๆคนก็อาจจะเสียชีวิต พิการ เพราะการรักษาพยาบาลที่ไม่ทันการ  สร้างความสูญเสียให้กับครอบครัว เพียงเพราะเราวางแผนการเงินไม่ดีพอ  สำหรับคนที่แก่ชรา สังขารร่วงโรย ส่วนมากก็จะป่วยกระเสาะกระแสะ  ต้องหาหมอสารพัดโรค  ค่าหมอ ค่ายา มากมาย  เงินที่เก็บสะสมไว้ คิดว่าจะใช้สบายๆท่องเที่ยวในวัยเกษียณ หมดไปกับค่ารักษาพยาบาล   ดังนั้นการเตรียมเงินไว้เผื่อสิ่งที่เป็นสัจจธรรมของชีวิต  แม้เราไม่ปรารถนา แต่ก็สามารถเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน   เราต้องเตรียมพร้อมที่จะบริหารจัดการการเงิน ให้เพียงพอกับเรื่องเหล่านี้  และไม่ให้ปัญหานี้ มีผลกระทบกับเงินก้อนอื่นๆ ที่เราตั้งใจจะสะสมไว้ใช้ในยามเกษียณ

สำหรับคนที่มีลูกหลาน ย่อมรู้ซึ้งถึงความรัก ความห่วงใย มากมายที่มีต่อลูกน้อย   ความรักของพ่อแม่ทำให้เราใฝ่ฝันที่จะเห็นลูกมีอนาคตที่งดงาม  เติบโตอย่างฉลาดสมวัย  มีพัฒนาการที่ดี มีความเก่งกล้าสามารถในทุกๆด้าน และมีคู่ครอง มีการงานที่ดีค่อไป ความปรารถนาของพ่อแม่ไม่มีที่สิ้นสุด   จึงเป็นช่องทางที่เหล่า "ปัญญาพาณิชย์"  ทั้งหลาย หากินกับความรัก และความคาดหวังของพ่อแม่ มีสารพัดคอร์ส สารพัดโรงเรียน   ค่าเล่าเรียนก็ไม่น้อบ   เอาแค่ เรียนปริญญาตรี โท ในต่างประเทศ อาจจะต้องใช้เงิน 10 กว่าล้านต่อคน   แค่ค่าเล่าเรียนในปัจจุบัน  เรียนธรรมดาหากเรียนโรงเรียนเอกชน ก็ปีนึงใกล้ๆแสน ถึงสองแสน    หากเรียนอินเตอร์ ปีนึงก็ใกล้ล้านเหมือนกัน    ไม่รวมค่าเรียนสารพัดพิเศษ เฉลี่ย ชม.ละ 500 บาทในปัจจุบัน  รวมๆแล้ว การมีลูกคนนึง หากเราไม่รู้จักใช้สติระงับความรักให้พอดี  ไม่ต้องเห่อตามชาวบ้าน ตามกระแสมากเกินไป ก็ต้องใช้เงินเป็นล้านเหมือนกัน     แต่หากยิ่งเห่อตามกระแส  เด็กคนนึงต้องใช้เงินเพื่อการศึกษาหลายสิบล้านบาท    แถมดูจากคุณภาพที่เรียนจบออกมาทำงาน ก็ไม่คุ้มค่าเอามากๆ  เด็กบางคน ไม่มีน้ำอดน้ำทน  ไม่มีทักษะการทำงาน ทำงานแล้วยังมาขอเงินพ่อแม่ต่อไป   พ่อแม่หลายๆคน ต้องติดตามใช้หนี้ให้ลูก เพราะลูกไม่มีทักษะการบริหารเงิน และไม่รู้เท่าทันชีวิต ทำให้ติดกับดักความฟุ้งเฟ้อสุดท้ายจึงเห็นคนแก่ชรามากมาย ที่ลูกหลานไปมาดูแล ทั้งๆที่เรียนสูง อาชีพการงานดี  แต่เค้าหมุนเงินไม่ทัน  ใช้เงินไม่เป็น จึงไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ไม่สามารถดูแลพ่อแม่ที่ทะนุถนอมกล่อมเกลี่ยมาแต่เด็กได้     ดังนั้น การวางแผนด้านการเงินเพื่อการศึกษาลูกก็มีความจำเป็นต้องวาง และห้ามนำมาปะปนกับเงินก้อนอื่นๆ เช่น เงินสำหรับการรักษาพยาบาล  เงินสำหรับเกษียณ    หากนำเงินทั้งหมดมารวมกัน โดยไม่แบ่งแยก เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะพลอยดึงให้ชีวิตส่วนอื่นๆ พังทะลายเป็นโดมิโนไปด้วย

ไว้มาต่อตอนที่สามนะคะ  ยังมีสัจจธรรมชีวิตที่ไม่สวยหรู มาฝากอีก

ไม่มีความคิดเห็น: