วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดี........จากนิทานสีขาว




ที่เมืองพาราณสีได้มีการจัดงานบวงสรวงครั้งยิ่งใหญ่
ต่อองค์พระศิวะถึง 7 วัน 7 คืน
พระศิวะมหาเทพซึ่งประทับอยู่บนสรวงสวรรค์
ก็ทอดพระเนตรงานครั้งนี้ด้วยความสนพระทัย
จนกระทั่งผ่านไป 3 วันตามวันเวลาบนโลกมนุษย์
พระองค์ก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงเลิกสนพระทัยงานบวงสรวงนั้น

ปาวารตี เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระศิวะ
และกล่าวแสดงความยินดีกับพระศิวะว่า
“ตอนนี้พวกมนุษย์ได้จัดงานบวงสรวงยิ่งใหญ่มอบให้แก่พระองค์
ซึ่งแสดงว่าพระองค์เป็นที่รักและศรัทธายิ่งของมนุษย์ไม่เสื่อมคลาย
ข้าพระองค์เห็นแล้วก็รู้สึกชื่นชมในพระบารมียิ่งนัก”

“อย่าใช้สิ่งที่เจ้าเห็นและคิดเองมาเยินยอข้าเลยปาวตี”
พระศิวะตรัสอย่างไม่ยินดีด้วย

“จริงอยู่ที่มีฝูงชนมากมายถือดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาข้า
แต่พวกเขาไม่ได้มาด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ
บางคนไม่มีความเมตตา บางคนละโมบโลภมาก
และมีหลายคนจิตใจมัวเมาไปด้วยกิเลส
พวกเขามาเพื่อต้องการขอนั่น ขอนี่มากมาย
ซึ่งข้าไม่มีทางยินยอมให้พรของข้า
ตกไปอยู่กับมนุษย์ที่มีจิตใจต่ำอย่างนั้นหรอก”

เทพทั้ง 2 จึงลงมาพิสูจน์ความจริง
โดยพระศิวะได้แปลงกายเป็นชายชราป่วยหนัก
ส่วน เทพปาวารตีก็แปลงกายเป็นหญิงชราผู้เป็นภรรยาชายชรา
ซึ่งที่จริงแล้วคือเทพปาวตี ได้อ้อนวอนขอน้ำจากฝูงชน
ที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า

“ท่านผู้เจริญ ได้โปรดแบ่งอาหารและน้ำให้เราสองผัวเมียบ้างเถิด
สามีข้าป่วยหนักใกล้ตายเพราะอดอาหาร
ส่วนข้ากระหายน้ำจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว”

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินมากับสามีของนาง
และได้สบสายตาอันน่าเวทนาของหญิงชราโดยบังเอิญนางจึงกล่าวว่า

“ข้าให้ของเหล่านี้กับพวกเจ้าไม่ได้หรอก
เพราะข้าต้องนำอาหารรสเลิศ
และน้ำบริสุทธิ์ในคณโทไปถวายองค์พระศิวะ เพื่อให้อำนวยพรแก่ข้า”
หญิงชราส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมกับกล่าวว่า
“แต่ข้าและสามีข้ากำลังจะตายเพราะขาดอาหารและน้ำ
และพระศิวะคงไม่ว่าอะไรกระมัง
ถ้าท่านจะแบ่งของเหล่านั้นให้เราทั้งสองบ้าง
เพราะพระองค์ก็มีของบูชามากมายอยู่แล้ว”

เมื่อสามีได้ยินชาวบ้าน พูดเช่นนั้นก็โกรธมาก
“ชิชะ! เจ้าคนจรจัดโสโครก หากพวกเจ้าได้อาหารชั้นเลิศของข้าไป
ข้าจะได้อะไรตอบแทนจากพวกเจ้าบ้าง
เจ้ามีปัญญาให้พรข้าเหมือนพระศิวะหรือ”

ดูเหมือนว่าคนอื่นๆที่ผ่านไปมา ก็คิดไม่ต่างจากสามีภรรยาคู่นี้เท่าไหร่นัก
แทบทุกคนเห็นว่าชายชราและหญิงชรา
เป็นผู้ทำลายบรรยากาศอันเป็นสิริมงคลอย่างไม่น่าให้อภั
นอกจากพวกเขาไม่แบ่งอาหารหรือน้ำให้สักหยดแล้ว
ยังพากันด่าว่าสองผัวเมียด้วยถ้อยคำหยาบคายด้วย

จนกระทั่งมีชายหนุ่มหน้าตามอมแมมเดินผ่านมา
แต่เขาไม่มีเครื่องบูชามากมายดังเช่นคนอื่นๆ
มีเพียงคณโท ใส่น้ำหนึ่งใบอยู่ในมือเท่านั้น
เมื่อเห็นชายหนุ่มหญิงชราก็อ้อนวอนขอน้ำจากเขา
ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันมามองผู้ชราทั้งสองอย่างน่าเวทนา
“ข้าไม่มีอาหารดีๆ ให้ตากับยายหรอก
มีเพียงน้ำบริสุทธิ์ซึ่งเป็นของดีที่สุดที่ข้าพอจะหามาบูชาแด่พระศิวะได้เท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นตากับยายเอาไปแบ่งกันดื่มเถิด”

“เจ้าไม่เสียดายน้ำนี่รึ เจ้าไม่อยากนำไปถวายพระศิวะ
เพื่อขอพรจากพระองค์หรอกหรือ” ชายชราถามขึ้นมาบ้าง

“ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงก็ใช่ว่าข้าจะเป็นคนดีอะไร
ข้าไม่เคยทำความดี มิหนำซ้ำยังเป็นหัวขโมยที่มักหยิบฉวยของคนอื่นอยู่บ่อย
คนอย่างข้าถึงจะนำของดีเลิศไปถวายพระศิวะ
พระอค์ก็ไม่ทรงเมตตาให้พรแก่ข้า มีแต่จะทรงสาปแช่งข้าด้วยซ้
แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกท่านแล้วเกิดความสงสาร
อยากทำความดีแก่คนอื่นบ้าง”

ทันทีที่น้ำหยดสุดท้ายหมดจากคณโท
ร่างชราของคนทั้งคู่ก็กลับคืนเป็นพระศิวะมหาเทพและเทพปาวารตีดังเดิม
“อย่ากลัวไปเลย ข้าคือศิวะ และนี่คือปาวตี
เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์
ข้ากับปาวตีแปลงกายเป็นชายและหญิงชราเพื่อลองใจมนุษย์ที่ดั้นด้นมาบูชาข้า
และเจ้าทำให้ข้าได้ประจักษ์ชัดว่า ผู้ที่ทำให้ข้าพอใจและสมควรได้รับพรจากข้า
ต้องเป็นผู้ที่มีความดีงามอยู่ในจิตใจ มิใช่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาชั้นยอด
ฝูงชนมากมายมาเพื่อบูชาข้า แต่มีเจ้าเพียงคนเดียวที่สมควรได้ขึ้นสวรรค์
เมื่อใดที่สิ้นอายุขัยของเจ้าแล้วข้ายินดีที่จะรับเจ้าขึ้นบนสรวงสวรรค์”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เกิดความปิติยิ่ง
เขารีบพนมมือขึ้นแล้วกล่าวคำสัญญาต่องค์ศิวะมหาเทพ และเทพปาวตีว่า
“ข้าพระองค์สัญญาว่าจะเป็นคนดีที่คู่ควรกับพรอันประเสริฐของพระองค์
ต่อไปนี้ข้าพระองค์จะเลิกเป็นขโมย เลิกทุจริต เลิกฉ้อโกง
เลิกเอาเปรียบคนอื่นอย่างเด็ดขาด และจะตั้งใจทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ”

เธอทั้งหลาย
• เธอควรทำความดีตลอดเวลาทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น

• สำหรับใครที่ไม่ใช่คนดีก็ไม่เป็นปัญหา
ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่จะเป็นคนดี
ถ้าเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งไม่ดี เธอก็จงหยุดเสีย
ในครั้งแรกๆ เธออาจเกิดความไม่ชอบใจ
ทั้งๆที่เธอก็สู้อุตส่าห์เปลี่ยนแปลงตนเอง
แต่ไม่มีสิ่งตอบแทนกลับมาบ้าง ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครชื่นชม
แต่เธอลองคิดดูเถิด ก่อนที่เธอจะเริ่มความดี
เธอได้ทำความเดือดร้อนไปให้คนอื่นมากเท่าไร
คนที่เจ็บปวดเพราะเธอ เขาย่อมไม่อยากถูกทำร้ายอีก
ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิเสธเอาไว้ก่อน
เป็นเรื่องปกติที่ย่อมเกิดกับคนที่เพิ่งเริ่มทำความดี

• อย่ายอมแพ้ จงมีจุดยืนเป็นของตนเอง และเฝ้าทำความดีตลอดไป
แม้วันนี้ไม่มีใครมองเห็น แต่สักวันอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

• บางครั้งความดีก็ทำยาก แต่เพราะยากเราจึงต้องทำ
เหมือนข้อสอบนั่นอย่างไร ถ้าข้อสอบง่ายเกินไป
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนเข้าสอบเก่งจริงๆ

คัดลอกจาก...นิทานสีขาว โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ไม่มีความคิดเห็น: