วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เลี้ยงลูกให้รู้จักพอเพียง ..ไม่เป็นทาสของเงิน

เลี้ยงลูกให้รู้จักพอเพียง ..ไม่เป็นทาสของเงิน
มาดูตัวอย่างดีๆเช่น > กฎเหล็ก7ประการของยีน ชาทสกี


ยีน ชาทสกี เป็นนักเขียนชื่อดังของอเมริกา และบรรณาธิการสายการเงินประจำรายการ NBC's Today Show ที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาคำตอบว่า ทำไมเด็กยุคใหม่ ถึงไร้วินัยทางการเงิน และไม่รู้จักคำว่าพอเพียง

กฎเหล็ก 7 ประการของ ยีน ชาทสกี


กฎข้อที่ 1 สอนลูกให้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเลือกให้เป็น การตัดสินใจเลือกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องทำ ในชีวิตนี้เราต้องเลือกระหว่างอะไรกับอะไรสักอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกระหว่างไอแพต 2กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือระหว่างบ้านหลังใหญ่ย่านชานเมือง กับคอนโดฯหรูใจกลางเมือง การสอนลูกให้รุ้จักตัดสินใจเลือกอย่างถูกต้อง จะต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังแบเบาะจนถึง 2 ขวบ เพื่อสอนให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรแล้วต้องได้ตามใจไปซะทุกอย่าง เทคนิคสร้างทักษะการเลือกที่ถูกต้องให้ลูก ควรเริ่มจากการฝึกลูกให้เลือกระหว่างของ 2 อย่าง จากนั้นค่อยเพิ่มจำนวนเป็น 3-4 อย่าง ถ้าลูกเลือกแล้วและรบเร้าอยากเปลี่ยนใจ พ่อแม่ต้องห้ามใจอ่อนเด็ดขาด เพราะจะสร้างนิสัยไม่ดีให้ลูก ต้องปลูกฝังให้ลูกรู้จักการเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง ที่สำคัญต้องแฮปปี้กับการตัดสินใจ ไม่ใช่ว่าพอได้ของเล่นชิ้นหนึ่งมาแล้ว ก็ลงดิ้นกับพื้นร่ำร้องอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยไม่รู้จักคุณค่าของเงิน


กฎข้อที่ 2 กติกาต้องเป็นกติกา เข้มงวดอย่างมีเหตุผล และเลิกตามใจลูก ผลสำรวจของ แดน คายด์ลอน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บ่งชี้ว่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเลี้ยงดูที่เข็มงวดของพ่อแม่ และครอบครัวที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด มีแนวโน้มที่จะไม่ออกนอกลู่นอกทาง เมื่อเทียบกับลูกเศรษฐีที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เกิด ลองใช้เทคนิคหักเงินทุกครั้งเมื่อลูกไม่ทำตามกติกา หรือลงโทษลูกด้วยวิธีอื่นๆเช่นห้ามดูทีวี


กฏข้อที่ 3 กำหนดเงินค่าขนมตายตัว เพื่อฝึกให้ลูกบริหารเงินด้วยตัวเอง สำหรับพ่อแม่ที่ไม่กล้าปฏิเสธลูก การกำหนดเงินค่าขนมตายตัวอาจอยาก เพราะเมื่อลูกรบเร้าอยากได้โน่นได้นี่ พ่อแม่จำนวนมากก็มักใจอ่อนซื่อให้ทุกที ลองเริ่มต้นด้วยการกำหนดเงินค่าขนมเป็นอาทิตย์และค่อยเพิ่มภาระเป็นรายเดือน วิธีนี้จะทำให้เด็กเห็นคุณค่าของเงิน และรู้จักวางแผนการใช้เงินของตัวเอง เด็กหลายคนยอมอดขนม เพื่อเก็บเงินไว้ซื่อของเล่น เพราะฉะนั้นพ่อแม่ไม่ควรนำเรื่องเงินค่าขนมมาโยงกับการบังคับให้ลูกช่วยทำงานบ้าน


กฎข้อที่ 4 สอนลูกให้รู้จักการรอคอย ปลูกฝังให้ลูกรู้ว่าการได้อะไรมายาก ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าการได้อะไรมาง่ายๆ พ่อแม่ที่ดีควรส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ที่จะเก็บเงิน เพื่อซื้อของที่ต้องการ เช่นถ้าลูกอยากซื้อคอมพิวเตอร์ราคาแพง ในขณะที่มีค่าขนมเพียงอาทิตย์ละไม่กี่ร้อยบาท สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยได้ก็คือ ทุกครั้งที่ลูกหยอดกระปุกออมสิน คุณพ่อคุณแม่ควรสมทบเงินในอัตราที่เท่ากันให้ลูก นอกจากการรวบรวมเงินออมทั้งหมดที่สะสมมาได้จากการช่วยงานพิเศษภายในบ้าน เมื่อทำแบบนี้แล้ว เด็กย่อมจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง


กฏข้อที่ 5 สนับสนุนให้ลูกทำงานพิเศษ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในการสอนลูกให้มีความรับผิดชอบ พ่อแม่อาจเริ่มต้นด้วยการจ้างลูกให้ทำงานพิเศษภายในบ้าน เช่นล้างรถ เลี้ยงน้อง เมื่อลูกได้ลิ้มลองรสชาติของการหาเงินได้เอง และอยากได้ข้าวของที่มีราคาแพงเกินกว่ารายได้พิเศษในบ้าน พวกเขาก็จะออกไปหางานพิเศษทำนอกบ้าน อย่าโวยวายเด็ดขาด ถ้าจู่ๆลูกจะขอไปทำงานนอกบ้าน


กฏข้อที่ 6 สอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงิน เด็กๆรู้จักใช้เงินเป็น ก็ตั้งแต่พวกเขานับเงินเป็นแล้ว แต่เรื่องที่ยากยิ่งกว่าคือ ทำยังไงถึงจะสอนให้พวกเขารู้จักคุณค่าของเงิน มีทิปง่ายๆสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ เมื่อไหร่ที่ลูกร่ำร้องอยากได้ของเล่น ลองทดสอบลูกว่าของเล่นที่อยากได้สำคัญระดับไหน ตั้งแต่ 1-5 โดยทั่วไปแล้วเด็กทุกคนมักตอบว่า สำคัญที่สุดเป็นอันดับ 5 จากนั้นทิ้งเวลาไว้สักอาทิตย์หนึ่ง แล้วค่อยกับมาถามลูกใหม่ การทำอย่างนี้สม่ำเสมอจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาศักยภาพในการตัดสินใจด้วยตัวเอง และรู้ว่าควรใช้เงินอย่างไรให้คุ้มค่า


กฏข้อที่ 7 เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก จงอย่าเหนียวหนี้ พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก โดยเฉพาะเรื่องวินัยการเงิน เริ่มต้นง่ายๆจากการจ่ายค่าขนมให้ลูกตรงเวลา อย่าเพาะนิสัยเหนียวหนี้ให้พวกเขาเห็น มิฉะนั้นพวกเขาก็จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เหนียวหนี้ เมื่อพูดคำไหนก็ต้องคำนั้น พ่อแม่ต้องเข้มงวดกับกติกาที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ตัวเองยังทำผิดคำพูดอยู่บ่อยๆแล้วนับประสาอะไรจะบังคับลูกได้

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์
24มิ.ย56

ไม่มีความคิดเห็น: