วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเลือกโรงเรียนของลูกตามแบบMNSHANG (๖)


รูปจากอินเตอร์เนต

ดรุณสิกขาลัย เป็นหนึ่งสองโรงเรียนที่ดิฉันชื่นชอบมานาน ยิ่งมีลูกชายสองคน ดิฉันยิ่งรู้สึกว่าโรงเรียนนี้เหมาะกับเด็กผู้ชาย เป็นอย่างยิ่ง เด็กๆถูกฝึกให้คิดค้นคว้าแบบวิทยาศาสตร์ เรียนตามความสนใจ และเรียนกันเป็นทีม ซึ่งแนวทางนี้ ค่อนข้างจะตรงกับความชอบส่วนตัว จากการที่ดิฉันได้ศึกษาและเขียนกระทู้ เืรื่อง "แค่เก่ง...ไม่พอ Talent is Never Enough " ดิฉันมีความเชื่อเรื่องการฝึกเด็กให้ทำงานเป็นทีม รู้จักทักษะของการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็นให้เป็นรูปธรรม การทำMindmapping ร่วมทั้งเรียนรู้สิ่งที่ตนเองสนใจให้ถ่องแท้ ดิฉันจึงพิจารณาว่า การศึกษาแบบดรุณสิกขาลัย เท่าที่อ่านเท่าที่ฟัง น่าจะตอบโจทย์ได้หลายๆเรื่อง การเรียนการสอนที่สอนเด็กค้นคว้า การใช้ภาษาอังกฤษ การใช้ไอที เป็นต้น แต่เท่าที่พูดคุยกับพ่อแม่หลายๆท่าน ประเด็นหลักๆที่ไม่ส่งลูกเข้าที่นี่ มาจากความไม่มั่นใจหลายๆอย่าง กล่าวคือ โรงเรียนยังไม่มีเด็กที่เรียนจบให้เ็ห็นชัดๆ ว่าสามารถเรียนต่อขั้นมหาวิทยาลัยดังๆ หรือประสบความสำเร็จในอาชีพการงานหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ ก็เห็นใจโรงเรียน เพราะการสร้างนักเรียนแต่ละรุ่นต้องใช้เวลาหลายปี กาลเวลาและผลงานการศึกษาของนักเรียนจะเป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพของหลักสูตร และการบริหารโรงเรียน

อีกประการหนึ่ง คือ เรื่องค่าเล่าเรียนที่สูงมาก คือ หลักสูตรแพงระดับการเรียนแบบอินเตอร์ ระดับกลางๆ คือ เฉลี่ยปีละกว่า ๓ แสนในระดับประถม หากผู้ปกครองยอมจ่ายค่าเล่าเรียนกันขนาดนี้ ก็มักจะพาไปเลือกเรียนอินเตอร์กันมากกว่า แต่ดิฉันก็เห็นใจ เพราะระบบการเรียนแบบนี้ ต้องมีต้นทุนสูง จำนวนนักเรียนต่อห้องน้อยๆ เรื่องไอที เรื่องของห้องสมุด รวมทั้งคุณภาพครู ที่ต้องมีความสามารถสูงมาก สามารถชี้แนะเด็กๆได้ อันนี้เป็นประเด็นที่ดิฉันยังไม่มั่นใจ เมืองไทยของเรา มีปัญหาเรื่องคุณภาพครู ไม่ว่าจะเป็นครูไทย หรือต่างประเทศ จะเขียนหลักสูตรให้เลิศหรู ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทำได้ตามที่ประกาศหรือไม่ อันนี้สำคัญ เท่าที่ทราบ โรงเรียนนี้มีจำนวนนักเรียนไม่มาก และมีผู้ปกครองที่มีศักยภาพ ทั้งทางด้านการเงิน และการใส่ใจลูกเรื่องการเรียนรู้ เป็นโรงเรียนที่น่าสนใจ จากการศึกษา คิดว่า เด็กๆที่เรียนโรงเรียนนี้ มีไม่มีคนที่จะต่อจนถึงระดับสูง ส่วนมากจะย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศ ในระดับมัธยม เพราะครอบครัวมีศักยภาพ และเมื่อเด็กโตพอที่จะช่วยตัวเองได้ ผู้ปกครองก็มักจะส่งไปเรียนที่ต่างประเทศ เพื่อฝึกฝนการดูแลตัวเอง

สรุปแล้ว การที่จะทำโรงเรียนดีๆ สมบูรณ์แบบที่จะฝึกเด็กๆได้รอบด้านนั้น มีต้นทุนสูง และมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น เรื่องบุคลากร สถานที่ และอุปกรณ์การเรียนการสอน การเีรียนโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบมีค่าใช้จ่ายสูง และหลายๆครั้งก็สูงเกินความจำเป็น หากยอมเสียเงินกันหนักขนาดนี้ ก็อาจจะต้องแลกมาซึ่งความไม่สมดุลของครอบครัว เช่น พ่อแม่อาจจะต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินจำนวนมากมาส่งลูกจนจบ เรื่องของการศึกษาเป็นเรื่องยาวไกล ไม่น้อยกว่า ๒๐ ปี หากวางแผนไม่ดี อาจจะมีปัญหากับครอบครัวได้ อีกทั้งโรงเรียนดีๆ อาจอยู่ไกลบ้าน ต้องเดินทางฝ่ารถติด เสียเวลา เสียสุขภาพจิต เด็กๆและพ่อแม่หลายๆคนไม่ได้มีโอกาสรับประทานอาหารเช้า เพราะต้องออกเดินทางแต่เช้ามืดเพื่อให้ทันโรงเรียน ทันไปทำงาน อาหารเช้า มีความสำคัญกับการพัฒนาสมองเด็ก และผู้ใหญ่ เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญตลอดวันของมนุษย์เรา การอดอาหารเช้า ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อการศึกษาและสุขภาพ

แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ยังมีทางเลือกทีเ่ป็นไปได้อีกทางหนึ่ง คือ การเรียนแบบโฮมสคูล ออกแบบตามใจดิฉัน และออกแบบตามแบบที่เหมาะกับลูกแต่ละคน แทนที่เราจะเสียค่าเล่าเรียนที่แพงมหาโหด เราเอาเงินเหล่านี้ มาซื้อคอมพิวเตอร์ หนังสือ หรือพาลูกไปท่องเที่ยวดูของจริง ทั้งในและต่างประเทศ เราสอนลูกด้วยตัวเอง จัดเวลาให้สมดุล ให้ลูกมีเวลาออกกำลังกาย ให้ลูกมีเวลาเล่นดนตรี ทำงานศิลปะ หรือ เรียนหมากล้อม อ่านหนังสือ ฝึก Mindmap เขียนรายงาน เขียนไดอารี่ ทั้งไทยและอังกฤษ และฝึกเรื่องทักษะรอบตัว การช่วยเหลือตัวเอง และทำงานสังคม ช่วยเหลือคนอื่น

ที่จริงแล้วมีไม่กี่ครอบครัวที่ทำได้ เพราะการทำโฮมสคูลต้องอาศัยความพร้อมหลายอย่าง เช่น พ่อแม่ต้องมีความรู้ มีความสามารถพอที่จะสอน และนำลูกๆได้ และต้องมีเวลาพอ ไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้หรืองานประจำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ทำให้พ่อแม่หลายๆคนก็ต้องคิดหนักๆ หน้าที่การงาน รายได้ การแข่งขันของธุรกิจ ทำให้หลายๆคนปล่อยวางได้ยาก

ที่จริงแล้วเรื่องการเรียนโฮมสคูลก็มีจุดอ่อนเช่นกัน สำหรับดิฉัน กล่าวคือ ดิฉันอยากให้ลูกได้ฝึกพูดหน้าชั้น การทำ Presentation รู้จักการโต้วาที เพราะหน้าที่การงานของดิฉัน และสามี ล้วนแต่ต้องใช้ทักษะเหล่านี้ การเรียนโฮมสคูล ทำให้เด็กๆไม่มีโอกาสพูดต่อหน้าคนหมู่มาก ขาดโอกาสที่จะฝึกเรื่องนี้ และไม่มีโอกาสที่จะรับรู้ความรู้สึกที่ถูกต่อต้าน ความเ็ห็นต่าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ เราต้องฝึกเด็กให้รู้จักรับฟัง และมีความสามารถในการโน้มน้าว โต้แย้ง แก้ข้อกล่าวหา หรือการยอมรับความเห็นต่าง

เรื่องการสอบเทียบ การยอมรับของผลการเรียนของโฮมสคูล ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะในอเมริกา ออสเตรเลีย มีการเรียนในระบบนี้จำนวนมาก มีหลักสูตรออนไลน์ มีการสอบวัดระดับ เราอาจจะพาลูกไปสอบปีละครั้ง หรือสอบออนไลน์ ก็ได้ ผลก็เป็นที่ยอมรับในสถาบันต่างๆ แต่เด็กๆก็อาจจะขาดโอกาสที่จะเรียนมหาวิทยาลัย Top 10 Top 100 เพราะไม่แน่ใจว่าผลจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ แต่ปกติมหาวิทยาลัยเหล่านี้ ดูส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ผลการสอบ SAT ที่เราไปสอบได้ รวมทั้งจดหมาย หรือรายงานที่ต้องเขียนเพื่อการสมัคร แม้แต่เด็กเรียนระบบปกติ ก็เข้ายากเช่นกัน

ดิฉันจึงตั้งใจว่า คงจะต้องยอมรับโรงเรียนใด โรงเรียนหนึ่งในกรุงเทพ ที่ค่าใช้จ่ายพอประมาณ อยู่ใกล้บ้านมากๆ และไม่เข้มงวดกวดขันเรื่องการเรียน ดิฉันจะได้มีโอกาสทำโฮมสคูลให้ลูกในส่วนที่ขาดไป หากเรียนไปสักระยะหนึ่ง ดูหน่วยก้านของลูก หากไม่เหมาะสม ก็จะทำโฮมสคูลในระดับประถมไปเลย เก็บเงินส่งลูกเรียนต่างประเทศ หรือโรงเรียนดีๆ ในระดับมัธยม หรือมหาวิทยาลัยจะดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น: