วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

กว่าจะเป็นหนึ่งในตำนานของสตีฟ จ็อบส์ (ุ6)




ชีวิตของสตีฟ จ็อบส์นี้ก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ที่มีด้านสว่างและด้านมืด  โดยรวมๆ แล้ว ดิฉันอยากบอกว่า เขาเป็นคนโชคดีมาก  ความโชคดีของเขา ทำให้เขาได้มีโอกาสมีพ่อแม่บุญธรรมที่สุดยอด ที่ปลูกฝังบ่มเพาะนิสัยของเขา จน มีความรักและหลงใหลในอิเล็กทรอนิคส์  และ มีทักษะความสามารถด้านการวางแผนเรื่องต้นทุน มีทักษะในการซื้อขายต่อรอง  

ความโชคดีของเขาทำให้เขาได้เผอิญมาอาศัยอยู่ใกล้ ซิลิคอน วัลเล่ย์  ในช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ในช่วงปี 1960 กว่านั้น เป็นช่วงที่ธุรกิจด้านเซมิคอนดักเตอร์ในอเมริกา ในย่านนี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง  ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่หลงใหลในอิเล็กทรอนิคส์ ผู้ที่หลงใหล ในคอมพิวเตอร์ ต่างหลั่งไหลมาทำงานแถวนี้ มาอยู่อาศัยในย่านนี้  ซึ่งทำให้เขา แวดล้อมไปด้วยผู้ที่หลงใหล ชื่นชอบ และพูดคุย พบปะในเรื่องเดียวกัน  (หากเป็นสมัยนี้ อาจจะไม่เป็นอย่างนี้แล้ว)

ความโชคดีของเขา ที่ทำให้เขา เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง อยากรู้ อยากเห็น และมีความทะเยอทะยานที่จะเรียนรู้ และทำสิ่งต่างๆให้ดียิ่งๆขึ้นไป  มีความมานะพยายาม  และไม่ขี้เกียจ  ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่สำคัญของคนที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ

หากไม่มีความโชคดีแบบนี้  สตีฟ จ็อบส์ อาจจะไม่สามารถกลายเป็นบุคคลในตำนาน อย่างที่เขาเป็นในตอนนี้  อาจจะไม่มีไอแพ็ด ไอโฟน ที่เป็นที่คลั่งใคล้ของหนุ่มสาว วัยเด็ก วัยรุ่น วัยชรา แบบทุกวันนี้  แต่อาจจะมีคนที่ล้มเหลว แต่งตัวมอมแมม สกปรก  นอนอย่างไม่ยี่หระสายตาชาวบ้านในถนนแห่งใดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้แทน

ชีวิตในวัยเรียนของ สตีฟ จ็อบส์  ก็เหมือนกับเด็กจำนวนหนึ่ง ที่มีปัญหากับระบบการศึกษา ปัญหาอาจจะไม่ได้มาจากระบบการศึกษาก็ได้ แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับนิสัยของเขาก็ได้   แม่บุญธรรมของสตีฟ จ็อบส์ เป็นคนสอนให้สตีฟอ่านหนังสือตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าเรียนชั้นประถม   ทำให้เขาเบื่อการเรียนที่โรงเรียน จ็อบส์เล่าว่า

"ผมเบื่อมากช่วง 2-3 ปีแรก เลยเอาแต่หาเรื่อง" ไม่นานก็เห็นชัดว่า ด้วยธรรมชาติ และการเลี้ยงดู ทำให้จ็อบส์เป็นเด็กที่ไม่ชอบการถูกบังคับ  "ผมเจอคนชอบใช้อำาจบังคับในแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ผมไม่ชอบเลย  มันเืกือบเล่นงานผมเหมือนกัน เกือบทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของผมหมดไปเลยทีเดียว"

เขาเป็นเด็กแสบของโรงเรียน และมักก่อความวุ่นวายหลายเรื่อง ตอนที่ไม่ทันจบเกรด 3 เขาก็ถูกส่งตัวกลับบ้านแล้ว 2-3 ครั้ง   แต่คุุณพ่อของเขา เป็นผู้ที่ไปยืนยันความสามารถพิเศษของลูกชาย จนเขาได้เรียนต่อไป  วอลเตอร์ ไอแซคสัน เล่าถึงตอนนี้ในหนังสือว่า

"พ่อของเขา ซึ่งตอนนั้นเลี้ยงดูเขาอย่างดีเป็นพิเศษ ตอบครูด้วยมาดสุขุมมั่นคงว่า เขาต้องการให้โรงเรียนดูแลลูกชายในฐานะเด็กที่มีความรู้ความสามารถพิเศษด้วยเหมือนกัน จ็อบส์เล่าว่า "พ่อบอกครูว่า มันไม่ใช่ความผิดของผม  ถ้าครูทำให้ผมสนใจเรียนไม่ได้ นั่นเป็นความผิดของครู" ... พ่อกับแม่รู้ว่าโรงเรียนทำไม่ถูก ที่บังคับให้ผมท่องจำอะไรก็ไม่รู้มากมายก่ายกอง"  จ็อบส์เริ่มฉายแววการเป็นคนอ่อนไหว และไม่แคร์ เกรี้ยวกราดและแปลกแยก ซึ่งเป็นลักษณะที่ติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

เรื่องราวในตอนนี้ั้นั้น ทำให้เราเห็นนิสัยพื้นฐานของจ็อบส์ในบางเรื่อง  นิสัยนี้ ทำให้เขาประสบความสำเร็จในบางเรื่อง และทำให้เขาล้มเหลวในบางอย่าง  มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดนอกกรอบ คิดไม่เหมือนคนอื่น  เมื่อรวมกับนิสัยด้านดีของเขา ที่เป็นคนมานะพยายาม และพยายามทำสิ่งที่ทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก รวมทั้งความรู้ความสามารถทักษะด้านไอทีที่สั่งสมมาแต่เด็ก ยาวนาน  ทำให้เขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเลิศให้โลกไอทียุคปัจจุบันได้    แต่หากนิสัยเสียๆแบบนี้ ไปอยู่ในคนที่ไม่มีความสามารถโดดเด่น  แถมยังขี้เกียจตัวเป็นขน  ไม่หยิบไม่จับ รักความบันเทิงไปวันๆ  ก็จะนำพาคนๆนั้น ไปสู่ความหายนะในที่สุด

อีกประเด็นหนึ่ง คือ นิสัยเกรี้ยวกราด ไม่เห็นหัวคน ไม่เกรงใจ ไม่ให้เกียรติผู้อื่น ทำให้เมื่อธุรกิจของ Apple เติบใหญ่ในภายหลัง  แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจ แต่ทำให้คนทำงานกับเขายากมาก และต้องออกจากการนั่งเก้าอี้บริหารบริษัท Apple ไป  มันทำให้เขาต้องประสบปัญหาในการทำงาน ทำธุรกิจ หลายปี กว่าจะมีโอกาสเรียนรู้ความผิดพลาดของตน และกลับมากุมบังเหียนบริษัท Apple ที่สร้างมากับมืออีกครั้ง ก่อนเสียชีวิต

จะเห็นว่า นิสัยหนึ่งๆของคนเรานั้น ไม่ใช่นำพาที่สิ่งดีงาม ความสำเร็จมาให้คนๆนั้น  แต่ก็นำพาความเสียหายมาสู่คนๆนั้นในบางโอกาส บางเรื่องด้วย   นิสัยบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นเรื่องดีงาม หากไม่มีความพอดี นิสัยนั้นก็ก่อให้เกิดโทษเช่นกัน  เช่น คนบางคนมีความ เพียรพยายาม กัดไม่ปล่อย  ไม่สำเร็จไม่ล้มเลิก ก็อาจทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จรุ่งเรืองในหลายๆเรื่อง  แต่ก็ทำให้เครียด กดดัน และรับไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ กับความล้มเหลว  ซึ่งในชีวิตของคนเรานั้น เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ความสำเร็จหรือความล้มเหลว บางครั้งก็เป็นเรื่องที่หลีีกเลี่ยงไม่ได้เลย  ต้องหัดทำใจ  

หรือคนที่สดับตรับฟังพระธรรมมากมาย แต่ไม่มีสติพิจารณา เอาธรรมะบางข้อมาใช้ โดยไม่ปฎิบัติแบบองค์รวม อาจจะนำพาความเสียหายยิ่งใหญ่ได้  เช่น ความมีเมตตา กรุณานั้น หมายถึงความเห็นอกเห็นใจ ปรารถนาให้ผู้อื่น เป็นสุข พ้นทุกข์   คนที่มีเมตตากรุณามาก มักจะเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือผู้อื่น  แต่บางครั้งอาจจะเผลอไปช่วยคนที่ไม่สมควรช่วยเหลือ หรือช่วยในกรณีที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดผลเสียต่อสังคมส่วนรวมได้  เพราะไม่มีความเป็นอุเบกขา  เช่นคนทำผิดควรต้องได้รับโทษ  แต่เมตตามากเกินไป ทำให้คนทำผิดได้ใจ ไม่ต้องรับโทษ มาทำผิดซ้ำซากใหญ่หลวง  หรือสังคมเสียบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน ปล่อยคนชั่วลอยนวล คนดีเสียหาย ก็ยิ่งเสียหายมาก เพราะนิสัยที่เมตตาเกินพอดีของคนเรา

มาเล่าเรื่องสตีฟ จ็อบส์กันต่อ คือ อยากบอกว่า การกระทำของพ่อของเขาที่มาพูดคุยกับครูในลักษณะนี้ ก็เป็นเรื่องที่ควรมาศึกษาเช่นกัน  ในฐานะพ่อที่รู้จักลูกของตนเป็นอย่างดี และมาพูดคุยอธิบายให้ครูฟัง แบบนี้เป็นเรื่องที่ดี  เพราะครูอาจจะไม่รู้จักความสามารถของเด็กด้านอื่น    แต่ประเด็นคือ เขาไม่ควรพูดต่อหน้าลูก   การพูดยกหาง เข้าข้างลูก ต่อหน้าครู ทำให้ลูกไม่มีความยอมรับนับถือครู  และทำให้เขาเหลิง ปกครองไม่ได้อีก  เพราะเด็กจะคิดว่าเขาทำถูกต้อง  และสามารถทำเช่นนี้ได้อีก  ต่อไปครูพูด เขาจะไม่เชื่อฟัง เพราะคิดว่า ครูบังคับเขาไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

คนที่เป็นพ่อแม่นั้น แม้จะรู้ว่าครูทำไม่ถูก ระบบการศึกษาทำไม่ถูก ที่ำทำให้เด็กต้องท่องจำมากมายเกินไป ต้องเรียนรู้ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ต่อหน้าลูก กับลูกนั้น เราไม่ควรจะต่อว่า บ่นตำหนิ โรงเรียน ครู หรือระบบการศึกษาให้ลูกฟัง  เพราะเมื่อเด็กฟังแล้วจะสิ้นความยอมรับนับถือ ศรัทธากับครู โรงเรียน และระบบการศึกษา และจะไม่เห็นความสำคัญของการเรียนในโรงเรียนอีกต่อไป  และหากเป็นเช่นนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ก็คงจะต้องจัดการศึกษาให้ลูกเอง เพราะไม่มีใครจะสอนลูกเราได้อีกต่อไป   การที่ประวัติการเรียนในโรงเรียนที่ผ่านมาในอดีตของสตีฟ จ็อบส์ล้มเหลว เพราะเขามีทัศนคติที่ไม่ดีกับการศึกษา ระบบการศึกษา ดิฉันคิดว่าจุดเริ่มต้นสำคัญมาจากจุดนี้ค่ะ  เมื่อเติบโตขึ้นมา เขาก็เป็นตัวป่วนไปทั่ว  ไม่ยอมเรียน ยกเว้นที่อยากเรียน  ไม่ยอมอยู่ในระเบียบข้อบังคับ และคำพูดของใคร แม้แต่กับพ่อแม่ของเขาเอง   และทำให้เขาต้องไปอยู่ในวังวนยาเสพติดหลายปี

เขาเป็นคนโชคดีที่เป็นคนประสบความสำเ้ร็จ หาไม่แล้วเขาก็คงจบชีวิตด้วยยาเสพติด หรือ หมดสิ้นอนาคต สิ้นชื่อไปแล้ว ก่อนที่เราจะมี อุปกรณ์ดีๆ สนุกๆ เช่น ไอโฟน ไอแพ็ด มาใช้ในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น: