วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องเล่าจากคุณแม่ปากเปราะ ถึงคุณแม่จอมเฮี๊ยบ (ุ6)

แม่เสือสอนลูก - Battle Hymn of  the Tiger Mother

อีกคนหนึ่งที่ต้องเอามาเล่า ไม่เล่าไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนสำคัญที่รักษาบาดแผล และสมดุลของครอบครัว คือ คุณเจด ผู้เป็นสามี   เขาเป็นหนุ่มอเมริกัน เชื้อสายยิว ที่เคร่งครัดต่อประเพณียิว เช่นกัน แต่เขาเติบโตมาในแบบครอบครัวอเมริกัน ที่ให้อิสระลูกในการเลือกใช้ชีวิต    บิดาของเจด เป็นจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงในกรุง วอชิงตัน ดี ซี    และเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้่านดนตรี    แม่ของเขา เป็นนักวิจารณ์ศิลปะ  ซึ่งมีชื่อเสียง และมีความเป็นอิสระสูง มีความคิดที่เป็นตัวของตัวเอง  พ่อแม่ของเจดเองก็มีชีวิตในวัยเด็กที่ไม่มีความสุขนัก เมื่อมีลูก ทั้งสองจึงเห็นพ้องทีจะให้ลูกๆ มีอิสระ และมีพื้นที่ของตัวเองอย่างที่ตนไม่เคยมีวัยเด็ก  ท่านเชื่อว่า ทุกคนมีสิทธิเลือก และให้ความสำคัญกับการมีอิสระ ความคิดสร้างสรรค์ และสิทธิในการตั้งคำถามกับผู้ที่เหนือกว่า   ทำให้เจด สามี ของ Amy เติบโตมาอย่างมีความสุข สุขภาพจิตค่อนข้างดี ไม่เก็บกดเหมือนภรรยา

จากอ่านในหนังสือ สัมผัสได้ว่า สามีภรรยา มีึความรักใคร่ และมีความสุขในชีวิตคู่มาก เธอเล่าในตอนหนึ่งว่า


"ฉันอยากจะซื้ออะไรบางอย่าง"  ดิฉันว่า

"อะไรหรือเอมี" เจดถาม "ถ้ามีอะไรบางอย่างที่เธออยากได้จริงๆ ฉันจะหาทางซื้อให้"



"ดิฉันโชคดีมากในเรื่องความรัก เจดทั้งหล่อ ตลก ฉลาดและทำใจได้กับรสนิยมห่วยๆ และมักจะถูกหลอกใ้ห้ซื้อของแพงๆของดิฉัน"

แม้ว่า จะเติบโตกันมาคนละแบบ แต่เจด สามีของเธอก็ยินยอม ให้เกียรติภรรยา เป็นผู้อบรมดูแลลูก แม้ว่า เค้าจะไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง แต่เค้าก็ไม่แสดงออกต่อหน้าลูก เลือกที่จะคุย หรือปรามภรรยา ตามลำพัง  และ ต่อรองกับลูก เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยการพาเ็ด็กๆ ไปพักผ่อน หรือ ออกกำลังกลางแจ้ง เป็นรางวัลที่ลูกยอมซ้อมดนตรี  มีตอนหนึ่ง ที่ Amy เล่าเรื่องเกี่ยวกับปฎิกิริยาของสามี เรื่องการดูแลลูกที่เข้มงวด

"ขณะเดียวกัน เจดและดิฉันมีความเห็นขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ เขาึคุยกับดิฉันเป็นการส่วนตัวด้วยความโกรธ ว่า ให้ปล่อยวางและเลิกมีความคิดบ้าๆ ว่า "ฝรั่ง" หรือ "จีน" จะต้องเหมือนกันทุกคนเสียที  "ฉันรู้ว่าเธอคิดว่า เธอกำลังช่วยทุกคนด้วยการตำหนิเพื่อให้พวกเขาทำตัวให้ดีขึ้น" เขาว่า "แต่เธอเคยคิดหรือเปล่าว่าเธอกำลังทำให้คนรู้สึกแย่?  ที่แย่ที่สุดที่เจด ว่าดิฉันก็คือ "ทำไม เธอถึง ต้องพร่ำชมโซเฟีย ต่อหน้าลูลูตลอดเวลา?   เธอคิดหรือเปล่าว่า ลูลู จะรู้สึกยังไง?  เธอไม่เห็นหรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? "

"ทว่านอกจากการเข้ามาขวางเป็นครั้งคราวเพื่อระงับศึกแล้ว เจดจะเข้าข้างดิฉันเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆเสมอ เราสองคนจับมือกันเป็นพันธมิตรตั้งแต่แรก แม้เจดจะไม่แน่ใจในสิ่งที่ดิฉันทำอยู่นัก แต่เขาก็ไม่เคยล้มเลิก ทว่าพยายามทำดีที่สุด เพื่อนำความสมดุลมาสู่ครอบครัวของเรา เช่น พาทุกคนออกไปเที่ยวขี่จักรยาน สอนเด็กๆเล็กโป๊กเกอร์ และสนุกเกอร์   อ่านนิยายวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมของเชคสเปียร์ และดิ๊คเกนส์ให้เด็กๆฟัง"

ในความเห็นส่วนตัวของดิฉัน ดิฉันคิดว่า เจดเข้าใจนิสัยมุทะลุ ใจร้อน ดุเดือดของภรรยาได้ดี  เธอเป็นคนที่รัก "หน้าตา" ของเธอเป็นอันมาก  การที่เธออบรมสั่งสอนลูกอย่างเข้มงวด รุนแรง ก็เพื่อให้ลูกเชื่อฟัง และ เกรงเธอ  หากเจดเข้าไปต่อว่า หรือขัดคอต่อหน้าลูกๆ ย่อมทำให้อารมณ์เดือดของเธอรุนแรงยิ่งขึ้น  เพระเธอย่อมไม่พอใจที่รู้สึกถูก "ฉีกหน้า" ต่อหน้าลูก   การเรียกมาคุย ต่อว่ากันตามลำพัง ย่อมดีกว่า และเด็กเองก็ไม่สับสน หรือ ไม่รู้สึกว่า แม่กำลังสอนผิดๆ ซึ่งทำให้เด็กไม่มั่นใจในตัวของเแม่

อีกประการหนึ่ง คือ นิสัยแบบ Amy นั้น เป็นคนที่่รักการต่อสู้ รักการแข่งขัน และไม่ยอมพ่ายแพ้  เธอคงได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อยในอดีต ในเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ  ในโลกของการแข่งขัน คนที่บ้าการรบ ยากที่จะมองใครว่าเป็นมิตร ปรารถนาดี  ความรัก ความจริงใจเท่านั้น ที่จะทำให้คนเช่นนี้ โอนอ่อน ผ่อนตาม และยอมอ่อนข้อ คลายความดุเดือดไปได้

ในการช่วยเหลือลูกๆของเจดนั้น ดิฉันเชื่อว่า คงเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ความรัก ความมั่นคง เห็นอกเห็นใจทุกๆฝ่าย และกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือลูกๆ ในยามที่เหมาะสม  ทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของแม่ลูกนั้น ไม่รุนแรง แบบที่ควรจะเป็น หรือ เกิดเรื่องเลวร้ายกับลูกๆจนกู่ไม่กลับ

ดิฉันเชื่อว่า เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมบ้านเรา หรือสังคมเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์  ก็ล้วนแต่ ได้รับอิทธิพลเรื่องความเชื่อโบราณ และวิธีการอบรมสั่งสอนลูกแบบนี้ ในบางครอบครัวนั้น มีการ Tack Team ทั้งพ่อแม่ ผลัดกันรุมยำลูกคนเดียว   เด็กตัวเล็กๆ ยึดพ่อแม่เป็นสรณะ  ยินยอมพร้อมใจ เชื่อฟัง  สูญเสียอิสรภาพในวัยเด็ก เพื่อรับการเคี่ยวกรำอยากหนัก เพื่อให้เป็นอัจฉริยะน้อยที่่พ่อแม่ภาคภูมิใจ  พ่อแม่ได้แต่ภาคภูมิใจในความมหัศจรรย์เหนือมนุษย์ ของลูก  ภูมิใจในตัวเอง ที่สามารถเจียระไนลูก ออกมาเป็นเพชรเม็ดงาม ประดับมงกุฎของความเป็นพ่อแม่   อาจจะไม่รับรู้ว่า ในระหว่างการเจียระไนนั้น ก็ได้เจียระไนเอาความสุข และความทรงจำที่ดีงามของลูกในวัยเด็กไปด้วย

ในโลกแห่งการแข่งขัน ที่เป็น Zero Sum Game มีคนชนะแค่คนเดียว นอกนั้นกลายเป็นผู้แพ้ เด็กที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ พลังและชีวิต เพื่อให้ได้ชัยชนะ มีไม่น้อย รวมทั้งพ่อแม่ ที่ทุ่มเท จะสร้างลูกให้ได้ชัยชนะ เพื่อเกียรติยศ ความภาคภูมิใจของลูก และตระกูล แต่หากผิดหวังล้มเหลว มันทำลายเด็กมาก หากพ่อแม่จัดการเรื่องนี้ไม่ดี เฝ้ากระหน่ำซ้ำเติม หวังให้แรงเจ็บแค้น เป็นแรงผลักดันให้ลูกฮึดสู้ มันก่อผลเสียทางใจ และพฤติกรรมของลูกมากกว่า


เด็กกลุ่มนึงอาจฮึดสู้ แต่อีกกลุ่มนึง ก็อาจเบี่ยงเบน เลือกทางพยศ ประชดประชัน ทำสิ่งที่ตรงกันข้าม สุดท้าย อาจจะทำลายชีวิตตนเอง หรือ ทำลายอนาคตของตนเอง ชนิดกู่ไม่กลับก็ได้


ดิฉันเองก็เกิดมาในครอบครัวแบบนี้ค่ะ ใช้ิชีวิตวิถีไม่ต่างจากเธอในวัยเด็ก ชีวิตความรู้สึกของชาวจีนโพ้นทะเล ไม่ต่างกัน แม้ว่าครอบครัวของดิฉันไม่ได้เลี้ยงลูกแบบโหดแบบนี้ แต่ก็สร้างบาดแผลให้ลูกๆไม่น้อยเลย ดิฉันโชคดีที่เจอหลักสูตรเยียวยาอดีต ในขณะทีี่พี่น้องคนอื่นๆไม่ยอมเข้าอบรม พวกเขาจึงไม่ได้มีโอกาสสัมผัสความรักอันลึกซึ้งของพ่อแม่ เท่าที่ดิฉันสัมผัส ท่ามกลางความดุดัน แข็งกร้าว มันเป็นความรักที่ ตายแทนเราได้ค่ะ


คุณแม่ของดิฉันนี่ก็เป็นคนทีโตมาท่ามกลางความกดดันแบบเธอ จนตอนนี้แก่แล้ว ก็ไม่ค่อยมีความสุข เพราะปล่อยวางความเจ็บปวดที่ได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากสังคมไม่ได้ คนแบบนี้น่าสงสารค่ะ ทั้งที่สุดท้ายประสบความสำเร็จทุกอย่าง ลูกๆก็ไปได้ดี แต่เธอก็รู้สึก ไม่ดีพอ น่าจะดีกว่านี้อีก


 ความรู้สึกแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เพราะคนเป็นลูก แต่ละคน แม้จะรักแม่ แต่ความบาดเจ็บมันทำให้อึดอัดที่ต้องอยู่กับท่าน บางที ท่านก็เตือนโน่น แนะนำนี่ประสานี่ แต่ฟังแล้วเจ็บทุกที คุยกันไม่ได้นาน รู้สึกแต่ว่า ท่านกำลังบอกว่า เราไม่ดีพอ ไม่ดีพอ ลงท้ายก็ทะเลาะกัน พี่น้องคนอื่นก็รู้สึกแบบเดียวกัน ดิฉันเองพอตั้งสติก็จะบอกตัวเองว่า มันคือการแสดงความรักในแบบที่ท่านเป็น ท่านกำลังบอกว่าท่านรักเรา แต่พี่น้องคนอื่น มองเป็นการตำหนิ ติเตียนว่าไม่ดีพอ


อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะเห็นผปค.หลายท่าน อ่านเรื่องนี้แค่ How to ในการสร้่างลูกทีี่เป็นเลิศ ไม่อ่านให้จบ และไม่อ่านว่า มันส่งผลกระทบที่ยากจะเยียวยา 

ไม่มีความคิดเห็น: