วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คลังหนังสือ

ตั้งใจจะทำข้อมูล เขียนแนะนำหนังสือในดวงใจอยู่พอดี เพราะดิฉันเป็นคนที่เติบโตมากับหนังสืออย่างแท้จริง ชีวิตแม้จะเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง เพราะเอาเวลามาอ่านหนังสืออื่นๆ ที่ไม่ใช่หนังสือเรียน แต่ก็ได้ดีเพราะหนังสือเหล่านี้ ดิฉันจำได้ว่า ดิฉันอ่านหนังสือประมาณ สัปดาห์ละ 2-3 เล่มเพราะเป็นคนอ่านหนังสือเร็วมาก และหนังสือที่อ่านก็เป็นนวนิยายซะส่วนมาก แต่ก็อ่านหนังสือแนวจิตวิทยา หนังสือ คู่มือการชนะมิตร เป็นต้นมามากเหมือนกัน ประมาณช่วง 20 ปีหลัง คือในวัยทำงาน ก็จะอ่านแนวธรรมะ แนวธุรกิจ สุขภาพ มากขึ้น จนตอนนี้เป็นแนวการเลี้ยงเด็ก การศึกษาเด็ก เป็นหลัก

ข้อมูลความรู้ในการดำเนินชีวิต ในการสอนลูกสองคน และการใช้ชีวิตคู่ที่มีความสุขมากมายกับสามีที่น่ารัก ก็มาจากการอ่านเช่นกัน จึงอยากเขียนถึงหนังสือที่ทรงคุณค่า และมีคุณูปการในชีวิต หลายๆเล่ม เพื่อให้คนที่สนใจสามารถนำไปศึกษาได้ค่ะ

พอดีมีกระทู้ใหม่ ที่เพื่อนตั้งไว้ ในเวบรักลูก เป็นเรื่องหนังสือ จะไปเอาข้อมูลในนั้นมาใส่ก่อน แล้วจึงเติมทีหลัง ใครสนใจมาตามอ่านได้เรื่อยๆนะคะ

10 ความคิดเห็น:

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

ในหนังสือมหัศจรรย์แห่การอ่าน ของ เมม ฟ็อกซ์ ซึ่งแปลโดย คุณรวิวาร โฉมเฉลา มีเทคนิคการอ่านให้ลูกๆเล็กๆฟังได้น่าสนใจ อยากแนะนำให้เพื่อนๆหามาอ่านดู

เธอได้บอกไว้ว่า
อ้างอิงจาก:
อ้างอิงจาก:
ปัญหาเรื่องการอ่านนั้นแก้ไขได้ยาก แต่ป้องกันได้ง่ายมาก เราต้องป้องกันตั้งแต่ ก่อนที่เด็กจะเข้าโรงเรียน ที่จริงแล้ววันแรกในโรงเรียนก็เกือบจะสายเกินไปสำหรับเด็กที่จะเริ่มหัดอ่าน มันน่ากลัวขนาดนั้นเทียวล่ะ


ในหนังสือกล่าวว่า

งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับสมองบอกให้รู้ว่า
อ้างอิงจาก:

อ้างอิงจาก:
ขวบปีแรกๆมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กมากเกินกว่าที่เราเคยรับรู้ สมองของเด็กเติบโตเพียงร้อยละ 25 เมื่อแรกคลอด และนับจากนั้น เมื่อทารกได้รับการเลี้ยงดู โอบกอด แล่นหัว พูดคุย ร้องเพลง และอ่านหนังสือให้ฟัง สมองอีกร้อยละ 75 ที่เหลือก็จะพัฒนา และยิ่งมีการกระตุ้นผ่านการสัมผัส การรับรส การได้กลิ่น การมองเห็น รวมทั้งการฟังมากขึ้นเท่าใด สมองก็จะยิ่งพัฒนาเร็วขึ้นเท่านั้น



อ้างอิงจาก:
นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ทีเดียวที่เส้นประสาทหลักๆ ซึ่งบ่งบอกสติปัญญา ความเฉลียวฉลาด และจินตนาการสร้างสรรค์ของเด็ก จะวางเครือข่ายสำเร็จภายในอายุเพียงหนึ่งขวบเท่านั้น

ในบทที่สาม ของหนังสือเล่มนี้ พูดถึงความสำคัญของการอ่านให้ลูกเล็ก ฟังไว้ว่า

- การอ่านหนังสือให้เด็กฟังตั้งแต่แเบเบาะ จะช่วยพัฒนาทักษะด้านการพูดของพวกเขาให้เร็วขึ้น อ่านนืทานซำ้ๆก็ไม่เป็นไร

- ถ้อยคำมีความสำคัญมากในการสร้างความคิดเชื่อมโยงภายในสมอง ยิ่งเด็กมีประสบการณ์ด้านภาษา ผ่านหนังสือและการพูดคุยกับผู้อื่น ไม่ใช่ผ่านการสื่อสารทางทีวี จะำทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านสังคม การศึกษา และทุกๆอย่างทีเกี่ยวข้อง แต่หากรู้จักคำน้อยเท่าไร ทั้งการเรียนรู้ การใช้ถ้อยคำก่อนเข้าโรงเรียน สมองของพวกเขาก็จะฝ่อลงเท่านั้น ดังนั้นการอ่านนิทานเป็นการช่วยเด็กในด้านนี้วิธีหนึ่ง

- ปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่พ่อแม่จะหาเวลาสื่อสาร แสดงความรักและเอื้ออาทรกับลูก ดังนั้นการอ่านนิทานให้ลูกฟัง วันละ 15 นาที เป็นวิธีการสื่อความรักที่ดีมากๆอย่างหนึ่ง เป็นการสร้างความสัมพันธืของครอบครัว ความทรงจำที่ดีในใจเด็ก

ในหนังสือแนะนำว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการอ่านนิทานให้ลูกฟัง คือ เมื่อไหร่ก็ได้ และบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะในเวลาที่ลูกเบื่อๆ หงุดหงิด ไม่มีอะไรทำ เช่น นั่งรถนานๆ นั่งรอแม่ ไปงานเลี้ยง เพราะทำให้เด็กหายเหงาได้ และพ่อแม่ก็ไม่ต้องเสียเวลา หงุดหงิด ว่าลูก เปลี่ยนมาอ่านนืทานแทน



ข้อสำคัญคือเราสามารถอ่านให้ลูกฟัง ไปจนโต ตราบเท่าที่เขายังอยากให้พ่อแม่อ่านให้ฟังอยู่

ืมบอกเรื่องสำคัญอีกอย่างคือ

เวลาอ่านนิทานให้ลูก ให้อ่านอย่างเดียวนะคะ อ่านทำเสียงสูงตำ่ให้ตื่นเต้น แต่ต้องอ่านให้ชัดๆ ที่สำคัญ อย่าอ่านไปสอนไป เพราะทำให้เด็กเครียด และไม่สนุก อ่านจบแล้วค่อยมาสอน หรือ ถามให้คิดว่า นิทานนี้ เล่าอะไร สรุปว่าไง ให้คอยถามลูกค่ะ อย่าไปสรุปให้ลูกเอง เพราะจะไม่เกิดกระบวนการคิดของเด็ก

และจะให้ดี ควรอ่านวันละ 3 เล่มนะคะ จะได้มีเวลาเล่นกับลูกมากๆ

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

ในนี้ดิฉันอยากพูดถึงหนังสือที่ดีมากๆเล่มหนึ่ง หากมีโอกาสอยากให้เพื่อนๆช่วยกันอ่าน เป็นหนังสือชื่อ ออกแบบลูกรักด้วยวิธีเลี้ยง ซึ่งเขียนโดย คุณหมอ จิตรา วงศ์บุญสิน หนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดาเลย เพราะคุณหมอได้ใช้วิธีในหนังสือนี้ปั้นลูกชายของท่านจนได้เหรียญทองชีววิทยาโอลิมปิก และทำคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของโลก อีกประการหนึ่งคือ วิธีการเขียนของท่านนั้น อ่านง่าย ไม่ยืดเยื้อ ไม่ซับซ้อน ปฏิบัติได้จริง ซึ่งเรานำมาฝึกฝน สอนลูกไม่ยากค่ะ ประการสุดท้ายคือ รายได้ที่ได้จากการจำหน่ายหนังสือนี้ คุณหมอได้มอบให้กับบ้านครูน้อย เพื่อพัฒนาเด็กๆที่ขัดสนค่ะ

มีอยู่หลายๆตอนในหนังสือที่ดิฉันอยากกล่าวถึง เช่น เรื่องการสร้างเซลล์สมองที่มีคุณภาพ ดิฉันเห็นคุณพ่อคุณแม่หลายๆคน พยายามพาลูกไปเรียนเสริมทักษะหลายๆอย่าง เพื่อพัฒนาเซลล์สมองลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง จนโต แต่ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีความสำคัญในการสร้างเซลล์สมองให้ลูกของเรา คือการกระทำ คำพูดของเราผู้เป็นพ่อเป็นแม่ค่ะ กำลังใจจากพ่อแม่ที่ปลอบประโลม ประคับประคองลูกยามที่ลูกทำผิดพลาด ทำไม่ได้ นั้นช่วยให้ลูกกล้าลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วสู้ใหม่ คำพูดชื่นชม เชื่อมั่นในตัวลูก เปรียบเสมือนปุ๋ยที่ดีให้แก่สมองของลูก


มีอยู่ตอนหนึ่งที่คุณหมอได้เล่าถึงเด็กสองคน คนหนึ่งเป็นลูกคนขายก๋วยเตี๋ยว คนหนึ่งเป็นลูกชายของวิศวกรและอาจารย์มหาวิทยาลัย ปรากฏว่าลูกชายคนขายก๋วยเตี๋ยวเรียนดีกว่า เพราะ เขาได้ฝึกฝนช่วยงานพ่อแม่ ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ เพราะเวลาว่างๆก็นั่งทำการบ้าน พ่อแม่มาช่วยดู ในขณะที่ลูกวิศวกรและอาจารย์กลับอยู่แต่กับพี่เลี้ยง เพราะพ่อแม่งานยุ่ง ไม่มีเวลาให้ สรุปคือการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่นั้นช่วยสร้างพลังสมองให้ลูก

มีอีกตอนหนึ่งที่ดิฉันอยากเล่าคือเรื่องการสื่อสารกับลูก พ่อแม่สมัยนี้มักจะคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง ซึ่งปัญหานี้คุณหมอบอกว่า หากสื่อสารถูกต้องตั้งแต่เด็ก ก็จะไม่มีค่ะ คุณหมอมีสูตร 6 แค่...

แค่ฟัง ฟังลูก บางทีลูกก็อยากจะระบาย ไม่ได้ต้องการความเห็น หรือไม่ต้องการคำแนะนำ แค่ฟัง และมองตาลูกให้เขารู้ว่า เราอยู่กับเขาเสมอ

แค่ดูก็รู้ใจ คือคอยสังเกต ดูอาการว่าลูกต้องการสิ่งใด หรือกำลังโกรธ กำลังต่อต้าน กล่าวคือดูอากับกิริยาของลูกและเข้าใจเขา

แค่กำลังใจ หลีกเลี่ยงคำพูดที่บั่นทองจิตใจ หรือทำให้ลูกเจ็บชำ อับอาย

แค่เสียงไม่พอ คืออย่าพึ่งแค่โทรศัพท์ อีเมลล์ จดหมาย เพราะเพียงเพราะว่า เราไม่ว่าง ไม่มีเวลา ต้องเจอกันตัวเป็นไจได้สัมผัส จ้องตาลูกได้

แค่พูด...ไม่พอ เวลารับปากลูก ต้องทำให้ได้ อย่าสัญญาซี้ซั้ว เพราะทำให้ลูกหมดความเชื่อถือ

แค่พยายามไม่ได้ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่รู้ทุกเรื่อง ทราบทุกอย่าง หากตอบคำถามอะไรไม่ได้ หรือ ทำอะไรไม่ได้ ก็ให้บอกลูกไปตรงๆ อย่าตอบมั่วค่ะ เพราะลูกจะไม่เชื่อถือ ไม่ไว้วางใจเราได้

แค่ขอโทษ ก็พอ รู้จักขอโทษลูกบ้าง อธิบายให้ลูกทราบว่า การขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย หากเราทำผิด ก็เป็นการแสดงความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ผิดพลาด ความผิดพลาดคือบทเรียนที่ทำให้เราระวัง ไม่ทำผิดอีก


เรื่องสุดท้ายที่ดิฉันอยากจะยกคำพูดของคุณหมอ (ในหนังสือ) มาให้อ่านกัน

"อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่จะเผลอระเบิดอารมณ์ใส่ลูกอย่างไร้เหตุผล ไม่ฟังที่มา ไม่สนที่ไป ขอเพียงให้ได้ด่าว่าจนสะใจเท่านั้นเป็นพอ

เป็นความจริงที่ว่าพ่อแม่ก็คือมนุษย์ปุถุชนที่มีอารมณ์ มีความโกรธ และอาจขาดสติได้ไม่ยาก

แต่เมื่อคุณมีลูก หน้าที่ของคุณคือการเลี้ยงดูลูก เหมือนเมื่อคุณปลูกต้นไม้ หากคุณอ้างว่าคุณก็เป็นคนธรรมดา ก็ต้องมีความขี้เกียจที่จะรดนำต้นไม้บ้าง ไม่เห็นแปลก...

นั่นหมายความว่า คุณต้องยินดีที่จะรับผลหากต้นไม้ไม่เจริญงอกงาม เหี่ยวเฉา หรือตายลง!!

เช่นกัน คุณอาจจะแก้ตัวได้ว่า พ่อแม่คือคนก็ต้องมีขาดสติบ้าง แต่คุณก็ต้องยินดีและพร้อมที่จะรับผลที่เกิดขึ้นกับสภาวะจิตใจของลูกคุณด้วย เด็กจะมีอารมณ์มั่นคง มีเหตุผลและมีความเชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างไร หากเขาไม่เคยเรียนรู้ ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้จากคนที่เป็นพ่อแม่ "

สรุป อย่าลืมซื้อมาอ่านะคะ ยังมีดีๆอีกแยะ เล่าไม่หมด อยากเห็นลูกๆหลานๆ ฉลาดๆและมีความสุขค่ะ จึงเอามาฝาก

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

"เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ท่านได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า

"เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่นำใจของเรา
คนที่เรารักสุดหัวใจก็ดี คนที่เรารักก็ดี
ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่อเนกชาติ
ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ
ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้"


มีอยู่ตอนหนึ่งในหนังสือเล่มบางๆนี้ กล่าวว่า

"เมตตาตรงข้ามกับโทสะและพยาบาท
ซึ่งเป็นความโกรธ ความมุ่งร้าย
เมตตาเป็นความรักความปรารถนาดีให้มีความสุข
เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรักที่เป็นราคะคือความใคร่
ดังนั้นหากเราหมั่นอบรมจิตให้เมตตาตั้งขึ้นในจิตใจได้
จิตใจก็จะพ้นจากโทสะพยาบาท"

นี่เองที่สามารถสยบนิสัยขี้โมโหได้ คือต้องฝึกเมตตาและรักผู้อื่น การให้อภัยและปล่อยวางความไม่พอใจ ความพยาบาทให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น ก็จะขัดเกลานิสัยขี้โมโหของดิฉันได้

สองวันนี้ดิฉันลองฝึกเมตตาดู ดิฉันรู้สึกหงุดหงืดน้อยลงค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ขับรถไปด่าไปเหมือนทุกวัน เจอตำรวจให้ใบสั่งก็ยังยกมือไหว้ขอบคุณแล้วยื่นแบ็งก์ร้อยให้อย่างนอบน้อมอ่อนหวาน ไม่หงุดหงิดเหมือนเคย


ก่อนจบเรื่องนี้ ขอสรุปสั้นๆ เป็นกลอนที่ไม่ได้แต่งเอง แต่ลอกมาจากหนังสือ

"มองเห็นความผิดคนอื่นเหมือนภูเขาใหญ่
เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม
ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน
ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร
ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน


สุดท้ายขออนุญาตฝากบทตอนหนึ่งในหนังสือ เหตุสมควรโกรธไม่มีในโลก มาให้พิจารณากันนะคะ

" เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่
มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก
สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูก
เมื่อลูกทำผิดจริงๆแล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก
สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี
มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว
และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม
แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง
จึงจะเกิดประโยชน์ เป็นการสอน
ถ้าเราสังเกตดู บางครั้ง ใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน
แต่ความจริงแล้ว เราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา
สิ่งที่เราพูดแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ
เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน คำพูดเดียวกัน นั่นคือโกรธ
ถ้าใจเราดี ใขเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน"

สรุปแล้ว อย่าสอนลูกตอนเราโกรธนะคะ ไม่ได้ผลหรอกค่ะ มีแต่เลวร้าย

ขอให้มีความสุขสงบกันทุกๆทานนะคะ



ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร"

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

ช่วงนี้ดิฉันกำลังหมกมุ่นกับการจัดการเจ้าแชงจอมแสบ ดิฉันรู้สึกว่าลูกกำลังดื้อมากค่ะ แม้หลายคนจะบอกว่าลูกคนดีของดิฉันออกจากเรียบร้อย ดู Behave มาก แต่สำหรับดิฉัน ดิฉันรู้สึกว่าเค้าดื้อมากๆ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี

ช่วงนี้เค้ากำลังฝึกปฏิเสธค่ะฝึก Negative Sentense บางทีก็เห็นเค้าหัดซ้อมพูด .ไม่..ไม่.. ไม่เอา...ไม่เอ๊า...ฯลฯ ซ้อมต่างๆนาๆคนเดียว แล้วเมื่อดิฉันจะให้อาบนำ ก็รีบโวยวาย ตีโพยตีพาย สักหน่อยตามที่ซ้อมไว้ นำหูนำตาไหลให้พอท้วมๆ ไม่ยอมให้อาบง่ายๆเหมือนเดิม พอจะให้กิน ก็โวยวาย ตีโพยตีพาย ม่าย...ม่ายกิน..ไม่...ไม่... แหม...มันน่าโมโหนัก พอเราเอาไปเก็บ ไม่ให้กิน ก็โวยต่อว่าจะกิน หิ้ว...หิ้ว... เป็นต้น แต่โชคดีที่ดิฉันใจเย็นพอควร เพราะดิฉันเห็นเค้าแอบซ้อมพูด ดิฉันก็เลยเฉยๆ เค้าก็เลยแผลงฤทธิ์ไม่ได้ผล เพราะยังไง เค้าก็ต้องทำตามแม่อยู่ดี

วันสองวันนี้เค้ากำลังฝึกกลยุทธิ์ใหม่ค่ะ เวลาเค้าต่อต้าน ไม่พอใจ เค้าไม่ตีโพยตีพายแล้ว แต่จะเดินไปรื้อทะลายกองหนังสือ หรือกวาดเอาข้าวของบนโต๊ะ หรือในตู้ลงมาหมดเลยค่ะ เละไปทั้งบ้าน แล้วยังหันมามองหน้าเราว่าจะทำอย่างไร มันน่าผั่วะไม๊คะนี่

วันนี้คุณแม่ให้หนังสือ รักลูกให้ถูกทาง ของท่านปัญญานันทภิกขุ มาให้ มีอยู่บทนึงท่านเทศน์เรื่องวิธีแก้ไขปัญหาเด็กดื้อรั้น อ่านแล้ว ดิฉันมองเห็นความผิดพลาดของตัวเองเลยค่ะว่า ดิฉันเองแหละที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ ทำให้เจ้าแชงน้อยผู้น่ารัก กลายเป็นเด็กดื้อ ขอยกความบางตอนมาให้ดูนะคะ

"การขัดใจของเด็กบ่อยๆทำให้เด็กเป็นคนเจ้าโทสะได้ ผู้ใหญ่จึงควรระมัดระวังในเรื่องนี้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ย่อมรักเสรีภาพด้วยกันทั้งนั้น จงให้เสรีภาพแก่เขาบ้าง อย่าไปยุ่งกับเด็กมากเกินไป พ่อแม่มักทำผิดในข้อนี้คือเข้าไปยุ่งกับเด็กมากเกินไปและขาดความเข้าใจในเด็ก"

"อย่าเข้าไปสอดแทรกในกิจการของเด็ก ก่อนได้รับการตกลงใจจากเด็กเสียก่อน"

ท่านยกตัวอย่างไว้ในบทนี้ว่า หลายๆครั้งลูกๆกำลังจดจ่ออยู่กับการเล่น หรือทำสิ่งใดอยู่ แต่พ่อแม่กลับเอาลูกไปกอดจูบ หรือบังคับลูกให้ทำสิ่งอื่น โดยไม่ได้ตกลงกับลูกก่อน ทำให้เด็กไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะการทำกิจกรรมของเขา ซึ่งสิ่งนี้เป็นการสร้างโทสะให้ลูก และทำให้เด็กเป็นคนเจ้าโทสะ และทำให้เขากลายเป็นเด็กดื้อรั้น ต่อต้าน

ดิฉันมองเห็นว่าตัวเองก็ทำเช่นนี้กับลูกค่ะ ดิฉันมักจะจัดการให้ลูกกินยา ทานข้าว เมื่อเป็นเวลานั้นๆ โดยไม่สนใจว่าลูกกำลังเพลินสนุกกับการเล่น หรือทำสิ่งใดอยู่ แล้วเขาก็โกรธงอแง โวยวายทุกครั้ง จนเดี๋ยวนี้ลูกต่อต้านจนเป็นนิสัยไปซะแล้ว บางทีดิฉันนึกมันเขี้ยว บ้ารักลูก ก็จับเค้ามากอดจูบโดยไม่สนใจว่าเค้าทำอะไรอยู่ หลายๆครั้งเขาก็โกรธมากเลยค่ะ ดิฉันได้แต่ขำว่าลูกเล่นตัว ไม่ทันคิดว่าสร้างความโกรธให้ลูก

ต่อไปนี้ดิฉันจะปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ คงต้องตกลงคุยกับลูกก่อน โน้มน้าวอธิบายให้เค้าฟังก่อน ให้ยินยอมพร้อมใจทำ เอามาเล่าให้ฟังค่ะ เผื่อใครมีปํยหาคล้ายๆกัน อาจลองพิจารณาดู ในหนังสือเล่มนี้ยังมีอะไรดีๆเดี่ยวกับ เรื่องการเลี้ยงลูก ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ

ขอให้ทุกๆครอบครัวมีความสุข เด็กๆทุกๆคนแข็งแรงและร่าเริงเป็นคนดีนะคะ

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

มีหนังสือในดวงในอีกเล่มที่ดิืฉันมักใช้อ้างอิงเสมอ

หนังสือ "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" เขียนโดย มาซารุ อิบุกะ แปลโดย ธีระ สุมิตร และ พรอนงค์ นิยมค้า

ใครไม่เคยอ่าน และยังไม่มี มาอ่านฟรีๆๆๆๆ ได้ที่เวบนี้ เขาโหลดไว้ทั้งเล่ม

มีเพื่อนท่านหนึ่ง เคยบอกไว้ ตามไปอ่านได้

http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/baby/index/index1.htm


ดิฉันเคยอ้างอิง หนังสือนี้ในหลายกระทู้ เช่น เรื่องบทอาขยาน

ในหนังสือ "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" มีพูดเรื่องประโยชน์ ของการสอนลูกเล็กๆ ให้ท่องกลอนต่างๆ ในวัยก่อนอนุบาล ไว้หลายตอน


อ้างอิงจาก:
อ้างอิงจาก:
การให้เด็กท่องกลอนสั้นๆ ทุกวัน วันละบท เป็นการพัฒนาสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถคิดเป็นให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก


อ้างอิงจาก:
อ้างอิงจาก:
สมองเด็กเล็กสามารภจดจำกลอนได้เป็นร้อยบท ถ้าเด็กไม่ใช้อุปกรณ์ในการจดจำนี้มันจะขึ้นสนิมหมด แต่ถ้าเรายิ่งใช้บ่อยเท่าไร ก็จะใช้ได้คล่องและขยายสมรรถภาพเพิ่มขึ้นด้วย

ความสามารถในการจดจำนี้ เราควรเพาะบ่มในวัยเด็กยินดีทำอะไรซำ้ๆ แต่ถ้าในวัยถัดมาเราน่าจะหลีกเลี่ยงวิธีการสอนแบบให้ท่องจำทั้งดุ้น




เรามาสอนลูกให้ท่องกลอน หรือบทอาขยานวันละบท ดีไม๊คะ

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

คราวนี้ดิฉันจะพูดถึงหนังสือในดวงใจ อีกเล่มหนึ่ง ที่ทำให้ดิฉันหันไปเรียนสปา และประกอบอาชีพทางด้านสุขภาพและธรรมชาติบำบัด หลายปีมานี้ หนังสือเล่มนี้คือ

"อากาศ อาโป อาหาร อารมณ์ ก่อให้เกิด อาการ" หรือ ทางเลือกมีมากกว่าหนึ่ง (ภาค๒)
ของคุณ ศิเรมอร อุณหธูป

หนังสือเล่มนี้ เป็นคู่มือธรรมชาติบำบัดเล่มสำคัญ ที่ดิฉันใช้ดูแลตนเองและคนในครอบครัวมากว่า 10 ปีแล้ว จากการที่เป็นคนที่ป่วยบ่อย เป็นไมเกรน แพ้อากาศ เป็นโรคเครียด ต้องหาหมอทานยา ประจำ ตั้งแต่ปฏิบัติตามหนังสือเล่มนี้ สุขภาพดีขึ้น เป็นเรื่องของการใช้สมุนไพร การปรับชีวิตประจำวัน เช่น การดื่มนำ้อุ่น การอยู่ในที่ๆเป็นธรรมชาตื การปรับอาหารให้เหมาะกับฤดูกาล และสภาพร่างกาย เป็นต้น

หนังสือเล่มนี้ ไปไหนต้องไปด้วย เอาไว้รักษาตัวเอง และลูกรักด้วยค่ะ

วิธีที่ดิฉันอ่าน ก็คืออ่านรอบแรก แล้วทำแถบ หรือ ทาสีไว้ เวลาลูกหรือ ตัวเราต้องการค้นหาอะไร ก็มาค้นเอาจากที่ทำสัญลักษณ์ ไว้ อ่านเป็น กี่ร้อยรอบก็ไม่รู้ แต่ดีมาก สุดโปรดเลย คุ้มที่สุด

ลองอ่านดูนะคะ

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ต้องติดบ้านไว้ ไปไหนไปด้วย เป็นเรื่องสุขภาพเหมือนกัน คือ "โรคฮิต เด็กก่อนวัยเรียน" ของ คุณหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงโรคที่เ็ด็ก 0-6 ขวบมักจะเป็นบ่อยๆ อาการ วิธีการดูแล รักษา และยาที่ต้องใช้ รวมถึงการดูแลเด็กเล็ก เวลาเป็นไข้ หรือชัก เป็นต้น เป็นหนังสือคู่มือที่สำคัญ ในการดูแลสุขภาพของลูกทั้งสองคน ที่ดิฉันจะใช้คู่กับธรรมชาติบำบัดเสมอ

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

หนังสือเล่มสำคัญอีกเล่มหนึ่ง ที่สามีนำเสนอมาให้เป็นเล่มแรก ตอนท้องน้องแชง คือ "คุณคือครูคนแรกของลูก" ซึ่งแปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษ You are Your Child's First Teacher ของ Rihima Baldwin Dancy แปลโดย คุณสุวรรณา โชคประจักษ์ชัด อุชุคตานนท์

เป็นหนังสือที่มีแนวคิดของการสอนลูก เลี้ยงลูก แบบวอล์ดอร์ฟ ซึ่งได้อธิบายถึงธรรมชาติของเด็กแต่ละช่วงวัย ตลอดจนพัฒนาการทางธรรมชาติ ของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดถึงปฐมวัย และได้ให้คำแนะนำ และอธิบายว่า พ่อแม่สามารถให้คำแนะนำ หรือ เลี้ยงดูลูกในแต่ละช่วงวัยอย่างไร ที่จะทำให้เด็กได้มีพัฒนาการพร้อม สมบูรณ์ ทั้ง 5 Q ตลอดจน อาหาร ของเล่น และกิจกรรม การศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

ทุกวันนี้ ครอบครัวเล็กๆของเรา ก็ใช้หนังสือเล่มนี้ เป็นหนึ่งในคู่มือแนวทาง ในการพัฒนาลูกทั้งสองคนค่ะ

แม่ขวัญ กล่าวว่า...

มนแชงแม่ขวัญเองค่ะ
ตามมาอ่านเรื่องราวดีๆในเวบค่ะ
ขอชมจากใจริงว่าทำเวบได้น่าสนใจ และอัดแน่นไปด้วยสาระความรู้มากมายจริงๆ
แม่ขวัญเป็นแม่คนหนึ่งที่เห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือมากค่ะ ก็เลยมีหนังสือมากมายโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ส่วนหนึ่งก็เลยนำออกมาขายต่อค่ะ ถ้ามนแชงอยากได้เรื่องไหนก็listมาได้นะคะ เผื่อแม่ขวัญมีค่ะ

ส่วนหนังสือปั้นสมองก็เป็นส่วนหนึ่งที่อยากสื่อถึงคุณพ่อคุณแม่ให้หันมาเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองเพิ่มมากขึ้นค่ะ ผลที่ตามมาคือความภาคภูมิใจที่เห็นพัฒนาการที่ดีของลูกจ้ะ แนวทางส่วนหนึ่งก็นำมาจากเรื่องคุณคือครูคนแรกของลูกเช่นกันค่ะ เป็นหนังสืออ้างอิงด้วยคะ


มนแชงก็ทำบ้านเรียนอยู่ที่เวียดนามเหรอคะ
ขออนุญาติเป็นแฟนบล็อคนี้นะคะ

Sher.... กล่าวว่า...

หวัดดีค่ะแม่น้องแชง ติดตามอ่านบ้างไม่อ่านบ้างมานานแล้ว แต่มิเคยแสดงตัว หลายเล่มในนี้ก้อยอ่านแล้วมีประโยชน์มากๆๆๆ ค่ะ ก้อยใช้เล่มนี้เหมือนกันคุณคือครูคนแรกของลูก ดีมากค่ะ อาจจะเยอะในนิด แต่อ่านตอนท้องน่ะเพลินและมีแรงจูงใจในการอ่านมาก หุหุหุ จะแวะมาบ่อยๆนะคะ

แม่น้องเฌอและน้องฌาน