วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รู้ทันไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่

นี่เป็นกระทู้อีกกระทู้หนึ่งที่เขียนไว้ในห้องสุขภาพของแม่ตั้งครรภ์ ในเวบรักลูกค่ะ เป็นข้อมูลที่ดี จึงนำมาเก็บไว้ในเวบบล็อกนี้ค่ะ จะได้หาง่าย ใช้งานสะดวก เพราะกระทู้ของรักลูก จะวิ่งตกหน้า หายไปเร็วมาก
ค้นหายากค่ะ

8 ความคิดเห็น:

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดิฉันสติแตกพอควร ลูกเป็นหวัดนาน จนเป็นปอดบวมหนึ่งคน อีกคนไปลงที่ท้อง ท้องเสียตลอด จนต้องเปลี่ยนนม การแพทย์และสาธาณสุขที่เวียดนามก็ไม่ดีพอ จนดิฉันไม่ไว้วางใจให้รักษาลูกในยามที่อาการเริ่มรุนแรง จึงพามาที่กรุงเทพ ตอนนี้หายดีขึ้นมากค่ะ ต้องพักฟื้นอีกหน่อย

ได้อ่านในหนังสือ Reader digest ฉบับบนี้ มีเรื่องนี้พอดี จึงอยากเอามาเล่าค่ะ จะได้ไว้ใช้ดูแลตัวเองและลูกรัก รวมทั้งคนในครอบครัว เพราะโรคกหวัดสมัยนี้ เชื้อรุนแรงและดื้อยา ปล่อยไปเฉยๆมักไม่หายเอง และจะลุกลามเป็นโรครุนแรง เหมือนลูกสองคนของดิฉัน ที่โรงพยาบาล คุณหมอและพยาบาลก็เล่าว่า ช่วงนี้ เด็กป่วยจนเป็นปอดบวมจำนวนมาก เพราะเชื้อมันแรงค่ะ ปล่อยไม่ได้เลย

การที่เราดูแลตัวเองและลูกไม่ให้ติดต่อ ให้แข็งแรงไว้ก่อน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

สเตฟานี ออสฟิลด์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ Reader Digest ไว้น่าสนใจค่ะว่า

ในงานวิจัยของวารสารอายุรศาสตร์ของอังกฤษ ปี 2550 ระบุว่า การกินยาปฎิชีวนะ เผื่อล่วงหน้า เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เป็นวิธีที่ไม่ได้ผล ขออธิบายว่า โรคหวัดส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัส ประมาณ 200 ชนิด ทำให้ไม่มียาเฉพาะในการรักษา ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะสามารถกำจัดได้เอง ภายใน 1 สัปดา์ห์ นอกจากจะเกิดการติดเชื้อ แบททีเรียร่วม ก็จะทำให้ลุกลามค่ะ คุณหมอบางคน พ่อแม่บางท่าน จึงให้กินยาแก้อักเสบกันไว้ก่อน เผื่อไม่ให้เกิดโรคแทรก ซึ่งในวารสารนี้ บอกว่้า ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยอะไรที่ทำเช่นนั้น

หากป่วยแล้ว ยาต้านเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ทามิฟลู จะทำยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำให้ลดอาการรุนแรงของโรคได้ร้อยละ 40 และลดระยะเวลาป่วยได้ร้อยละ 30

วิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีน โดยคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงคือผู้สูงอายุ เกิน 65 ปี คนที่มีโรคภูมิแพ้ หอบหืด ภูมิคุ้มกันตำ่

ขอขยายความว่า มีการถกเถียงกันว่า การฉีดวัคซีนทุกปี จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ เพราะ วัคซีนเพิ่งมีไม่นาน หากใช้ไปนานๆ จะทำให้เกิดผลอะไรกับร่างกาย ในระยะยาวหรือไม่ ก็ไม่ทราบ แต่ดิฉันกับครอบครัวก็ฉีดค่ะ ป้องกันไว้ก่อน พอลูกแข็งแรงขึ้น ก็ค่อยหยุดฉีด

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

มีงานวิจัยหลายฉบับระบุว่า มีอาหารโบราณหลายชนิดที่มีฤทธิ์ในการรักษา หรือป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ดี เนื่องจากคนเขียนเป็นฝรั่ง จึงได้บอกสูตรฝรั่งไว้ เช่น

ซุปไก่ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยธรรมชาติ บรรเทาอาการหวัด คัดจมูก เจ็บคอ ไอ แต่ซุปไก่ของฝรั่ง หากจำไม่ผิด ต้องใส่หอมใหญ่ แครอท มันฝรั่งด้วยค่ะ และต้มให้นิ่มๆ ใช้ทานร้อนๆ ตอนป่วย ของคนจีนก็เอาไก่ดำ ทั้งตัวไปตุ๋นค่ะ ใส่ขิง และรากผักชี พริกไทยดำ ตุ๋นจนนิ่ม และดื่มแต่นำ้ ช่วยได้เหมือนกัน ลดอาการอ่อนเพลียด้วย

ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ช่วยป้องกันและทำให้หวัดหายเร็ว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค โดบกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ชนิดทีเซลล์

กระเีทียม มีสารอัลลิซิน ซึ่งมีรสชาดเผ็ดร้อน ช่วยป้องกันหวัด

ในสูตรของไทยเรา ก็มีนะคะ เช่น ต้มยำ แกงเลียง แกงส้ม เมี่ยงคำ สามารถช่วยป้องกัน และรักษาโรคหวัดระยะเริ่มต้นได้ค่ะ รสคล่องคอ สำหรับคนป่วย แต่หากคอเจ็บก็อย่าทำเผ็ดมาก เอาสมุนไพรไว้ก่อน

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ ที่ช่วยป้องกัน หรือ รักษาโรคหวัด มีผลวิจัยดังนี้ค่ะ

วิตามิน ซี มีผลวิจัยว่า ไม่พบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่ยืนยันว่า วิตามินซี ช่วยให้หวัดหายเร็วขึ้น แต่การศึกษาของญี่ปุ่น ที่ทำการศึกษามากว่า 5 ปี พบว่า การทานวิตามินซีทุกวัน จะช่วยให้เป็นหวัด ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง แต่หากเป็นแล้ววิตามินซี ไม่ช่วยบรรเทาอาการ

แอคคานีเซีย มีงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัย คอนเนตติกัต ทดลองคน 1,600 คน พบว่าแอคคานิเซียช่วยให้อาการหวัดลดลง 1.4 วัน เพราะแอคคานีเซีย ช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียในร่างกาย

ฟ้าทะลายโจร มีฤทธ์ในการกระทตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดอาการติดเชื้อของทางเดืินหายใจส่วนบน มีงฉบับของอังกฤษ และของไทย 4 ฉบับ พบว่า ฟ้าทะลายโจรช่วยลดอาการรุนแรงของโรคหวัด เช่นเจ็บคอ ไซนัสอักเสบ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย

นำ้ผึ้ง การให้เด็กดื่มนำ้ผึ้งก่อนนอน ช่วยบรรเทาอาการไอได้ดีกว่ายาแก้ไอ แต่ไม่ควรใช้ในเด็กที่อายุตำ่กว่า 1 เพราะอาจได้รับอันตรายจากพิษบาดทะยัก ที่เจอในนำ้ผึ้งเล็กน้อย

การหยอดนำ้เกลิอ ล้างโพรงจมูก ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกของเด็กได้ค่ะ

การดื่มนำอุ่นมากๆ และการนอนหลับให้เต็มที่ จะช่วยรักษาโรคได้ดีที่สุด

การออกกำลังกายเล็กน้อย ไม่มีผลให้หวัดหายเร็วขึ้น และการออกกำลังกายมาก อาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย ไปที่ส่วนอื่นๆ เช่นปอด ท้อง ได้ ไม่ควรให้เด็กออกกำลังกายมากเกินไปในระหว่างป่วยนะคะ ให้นอนมากๆ ดื่มนำ้มากๆ วันละ 8 แก้ว ทำให้เสมหะใส และไหลออกมาง่ายขึ้น

การกลัวคอ หรือเช็ดลิ้น ด้วยนำเกลือ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ และลดการอักเสบของคอได้ค่ะ

การสั่งนำ้มูก ออก หรือ คา่ยเสมหะ ช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่การสั่งนำมูกอย่างรุนแรง ทำให้ เสมหะในโพรงจมูก ไหลเข้าโพรงไซนัสมากขึ้น มากถึง หนึ่งมิลลิเมตร ซึ่งทำให้อาการแย่ลงค่ะ จึงต้องสั่งทีละข้าง และสั่งเบาๆ

การดื่มนม ไม่ได้ช่วยให้เสมหะมากขึ้น จึงทานได้ค่ะ ยกเว้นเด็กที่มีอาการแพ้นมนะคะ

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

เรืองยาปฎิชีวนะ ใน Reader Digest ก็มีพูดเรืืองนี้พอดี สถานการณ์เชื้อโรคดื้อยานี่ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ อีำกไม่กี่ปี บริษัทยา จะหยุดดำเนินการหรือลดกำลังการผลิตยาปฎืชีวนะ เพราะภาวะขาดทุน การผลิตยา การค้นคว้ายาใหม่ๆใช้เวลานาน และล้มเหลวสูง คาดว่า ภายใน แปด ถึงสิบปีข้างหน้า จะไม่มียาปฎิชีวนะตัวใหม่ๆออกมาอีก ในขณะที่เชื้อโรค ทวีความรุนแรงขึ้น

การใช้ยาปฎิชีวนะ จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อมิให้เชื้อโรคดื้อยา กลายพันธุ์ มิฉะนั้น จะไม่มียารักษาค่ะ


การกินยาปฎิชีวนะ ยาฆ่าเชื้อ ต้องทานให้ครบ ให้หมด ตามหมอสั่ง ห้ามลืม ห้ามหยุดเมื่อหายนะคะ เพราะจะทำใ้ห้เชื้อโรคฟื้นคืนชีพ และดือ้ยา จะใช้ยาเดิมไม่ได้อีก และไม่ควรหายาปฎิชีวนะทานเอง หรือทานพรำ่เพรื่อ ประเภทกินกันไว้ก่อน มัีนไม่ Work

ยาปฎิชีวนะมีหลายตัว สำหรับหลายๆเชื้อที่แตกต่างกัน จึงต้องแพทย์สั่ง เช่น ลูกคนโตที่ปอดบวม เป็นประเภทไข้ตำ่ ต้องใช้ยาตัวหนึ่ง แต่หากเป็นปอดบวม ไข้สูง แปลว่าเชื้ออีกแบบหนึ่ง ยาก็ไม่เหมือนกันค่ะ

ดิฉันเห็นพ่อแม่บางคน ซื้อ อ๊อกเมนติน หรือ ซื้อ อม็อกซิลืิน ให้ลูกทานเป็นว่าเล่น พอเป็นหวัด ก็กืนไว้เลย แบบนี้ไม่ได้ค่ะ เพราะในหลายๆกรณี เชื้อที่เป็น ไม่สามารถกินยานี้ได้ ไม่ช่วย ทำให้ได้ยาเกินจำเป็น

ในหนังสือ Reader Digest เล่มนี้ ไ้ด้สรุปเรื่องเชื้อดื้อยาไว้มาก น่ากลัวมากค่ะ

เช่น ปี 2546 เป็นต้นมา ชาวอเมริกันที่ไปรบอิรัก และอัฟกานิสถาน ไปติดเชื้อแบททีเรีย ชนิดหนึ่งที่ลุกลามไปทั่วร่างกาย ไม่มียาปฎิชีวนะที่รักษาได้ ต้องมาใช้ยา่เก่าที่เลิกใช้กันไปแล้ว เอากลับมรักษาอีกครั้ง เพราะเป็นเชื้อที่ดื้อยาสมัยใหม่ไปแล้ว

ปี 2548 เป็นต้นมา มีกาารพบเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา ในอาฟริการใต้ ผู้ป่วย 53 รายติดเชื้อสายพันธุ์ดื้อยานี้ ไม่มียารักษา ตายรวดเดียวภายใน 16 วัน หลังตรวจพบโรค

ปี 2549 ชาวอังกฤษ ประมาณ 1650 คน ตายจากการติดเชือ้ สเตฟิโลคอคัส ออเรียส สายพันธุ์ดื้อยา

เป็นต้น

ประเด็นคือโลกเราตอนนี้ เป็นโลกาภิวัฒน์ มีการเดินทางไปมาทั่งโลก เป็นธรรมดา ประเทศไทย เป็นศุนย์กลางทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งหนึ่ง ปีหนึ่งๆมีคนเดืินทางเข้าออกประเทศเรามากมาย การเดินทางของเชื้อโรคต่างๆ ก็เป็นเรื่องง่ายมาก เชื้อโรคพวกนี้ก็มาบ้านเราได้ค่ะ

หากไปโรงพยาบาล ให้ล้างมือตัวเอง และลูกบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการนั่งใกล้ผู้ป่วยคนอื่นๆมากๆนะคะ เรื่องพวกนี้ ต้องระวังมากๆเลย

ขอให้น้องๆทุกคน และเพื่อนๆ แข็งแรง หากเพื่อนๆที่ยังใ้ห้นมลูกอยู่ ก็จะทำให้ลูกได้ภูมิคุ้มกันจากแม่ค่ะ หากคุณทานอาหารบำรุงที่ดี ตามที่แนะนำ ลูกก็ได้รับผ่านทางนมแม่ค่ะ ไม่ต้องห่วง

ป้องกันและดูแลสุขภาพตัวเอง ดีกว่ารอป่วยแล้วมารักษานะคะ

Rattana MNSHANG กล่าวว่า...

อันนี้ เป็นข้อมูลของแม่ม้าน้อย มาเสริมไว้ให้ค่ะ ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

วัด เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียาเฉพาะรักษา ไวรัสสามารถออกฤทธิ์ต่อร่างกายได้กับคนที่มีภูมิึคุ้มกันฯ ต่ำ หรือ บกพร่อง
วิธีรักษาที่ดีที่สุด คือ การพักผ่อน รักษาร่างกายให้แข็งแรง ภูมิต้านทานดี ก็หายเร็วค่ะ

วิตามินซี จึงมีบทบาทสำคัญค่ะ เพราะเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงค่ะ

การที่แพทย์สั่งยาปฏิชีวนะให้นั้น เพราะมีการติดเชื้อจากแบคทีเรียในส่วนต่างๆ เช่น จมูก คอ หู ท้อง ปอด...ซึ่งทำให้เราเกิด ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก...
การให้ยาอันหลังนี้ เป็นการรักษาตามอาการค่ะ ไม่ใช่เป็นการรักษาโรคหวัดค่ะ

นอกจากนี้เชื้อไวรัส(หวัด) มีมากกว่า 2000 สายพันธุ์ค่ะ วัคซีนที่นำมาฉีดในแต่ละปี เกิดจากการคาดคะเนความน่าจะเป็นว่าจะแพร่ระบาด ซึ่งอันนี้ทางการแพทย์เขาจะมีการวิเคราะห์และเก้บสถิติค่ะ ว่าช่วงไหนสายพันธุ์ใดมีโอกาสจะระบาด จึงผลิตวัคซีนดังกล่าวมา แต่ไม่ได้หมายความว่า จะป้องกันได้ 100% เป็นเพียงการลดโอกาสการติดเชื้อค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ตามมาจากเว๊บรักลูกครับ ได้ความรู้เยอะเลย จะได้เอาไปดูแลเจ้าตัวเล็ก 3 คน ขอบคุณคร๊าบ...

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ได้เขียนไว้ คือ เราควรให้ลูกได้มีโอกาสออกกำลังกาย วิ่งเล่นกลา่งแจ้งทุกวัน ในช่วงที่อากาศไม่ชื้น และแดดไม่แรง อย่างน้อยวันละครึ่งชม.ค่ะ การออกกำลังกายนี้ช่วยทำให้เด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด หรือเป็นหวัดบ่อยๆ แข็งแรงขึ้นได้ เพราะการออกกำลังกาย ทำให้โลหิต และนำ้เหลืองหมุนเวียนดี และการดื่มนำ้สะอาดมากๆ จะช่วยขับสารพิษ และสิ่งสกปรกหมักหมม ออกจากร่างกายลูกได้เร็วขึ้นค่ะ เด็กๆจึงจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงนี้หลังจากอาบนำ้ลูกประมาณ หนึ่งชม. ให้เอาวิกซ์วาโปรัป มานวดทา บนหน้าอก หลัง และรอบสะดือด้วยนะคะ จะทำให้ลูกร่างกายอบอุ่นขึ้น ที่ำสำคัญคือให้นวดเท้าด้วยวิกซ์วาโปรัป แล้วสวมถุงเท้าไว้ค่ะ ลูกจะไอน้อยลง สบายขึ้นมากเลย ดิฉันทำทุกวันเลยค่ะ ลูกๆป่วยน้อยลงมาก และหายเร็ว

ก่อนนอน หากลูกมีเสมหะมาก จะไอจนหลับไม่ได้ค่ะ ดังนั้น ให้ดื่มนำ้เพื่อละลายเสมหะ และยานำ้ชสนป๋วยปี่แป่กอ สักหนึ่งช้อนชา ทาวิกซ์ตามสูตรที่บอก เปิดแอร์อุณหภูมิที่ ๒๖ องศา ก็จะไอน้อยลงค่ะ