วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

พาลูกเที่ยวธรรมชาติ เมืองดาลัด เวียดนาม (9)



รูปนี้ ถ่ายภาพโดยน้องแชงค่ะ

รูปนี้ถ่ายภาพโดยน้องแชงค่ะ

นี่ก็ฝีมือน้องแชง

ฝีมือน้องแชงค่ะ

นี่ก็ฝีมือน้องแชง


มีรถม้า และม้าให้ถ่ายรูปและขี่เล่นรอบๆ

เจ้าหมาน้อย เค้าชอบถ่ายรูปเงาของตัวเองมากเลย

มีมุมสวยๆให้แต่งชุดชาวเขาแล้วถ่ายรูปค่ะ

Bao Dai Palace No. III   พระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้า บ๋าวด่าย


หากมาเที่ยวเมืองดาลัดกับทัวร์ หรือ มาเที่ยวตามปกติก็แล้วแต่  ที่นี่ มักเป็นที่นึงที่จะถูกพามาเที่ยวชม  แต่ในความเห็นส่วนตัว  ดิฉันมาแล้วรู้สึกหดหู่  พระราชวัีงฤดูร้อนเล็กๆ  ที่ไม่ได้ีัรับการดูแลรักษา  ปล่อยให้ทรุดโทรม  นักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม  นั่งๆนอน และเปิดประตู เปิดตู ที่ถือว่าเป็นสมบัติโบราณ  เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ของชาติ และของโลกด้วยความไม่เห็นคุณค่า  ทำให้รู้สึกเสียดายแทนค่ะ    ดูจากโครงสร้างของอาคาร และสวน  ถือว่าได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงาม เชื่อว่าสมัยก่อนต้องสวยมากเลย  สวนดอกไม้   ที่งดงามแบบฝรั่งเศส  เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ัรับการดูแลเท่าที่ควร ทำให้สถานที่นี้ ไร้เสน่ห์ และเหมือนซากที่ตายแล้ว

ดูจากประวัติของสถานที่นี้ น่ารักดีค่ะ พระเจ้าบ๋าวด่าย กษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนาม สร้างวังแห่งนี้ เมื่อประมาณ ปี ๑๘๓๓  แต่เดิมเป็นที่ประทับพักร้อนของพระองค์และพระมเหสี ซึ่งเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีใหญ่ในเวียดนามในสมัยนั้น   มีโอรส ธิดาด้วยกัน ๕ พระองค์  ชายสอง หญิงสาม   พระราชวังแห่งนี้ จึงมีห้องพระบรรทมของพระโอรส ธิดา สามห้อง  ห้องพระมเหสี หนึ่งห้อง และ ห้องพระเจ้าบ๋าวด่าย หนึ่งห้อง ดูจากห้องน้ำ ต่างๆก็ดูเหมือนว่า จะทันสมัยมากในสมัยนั้น  และแท่นพระบรรทมก็ดูหรูหราดีในยุคนั้น

ในช่วงที่ถูกฝรั่งเศสเข้ายึดครองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  พระเจ้าบ๋าวด่ายเป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิด พระองค์ใช้ชีวิตที่นี่ เป็นหลัีก จึงมีห้องประชุม  มีห้องทำงาน และที่รับรองแขกด้วย  ในขณะที่พระมเหสี และโอรสธิดา ถูกส่งไปที่ฝรั่งเศส  เค้าเล่าว่า พระองค์มีนางสนม สามคน สองคนเป็นสาวงามจากเวียดนาม และหนึ่งคนเป็นสาวอิมพอร์ตจากฮ่องกง ที่มีบ้านพักรอบๆวังแห่งนี้  ซึ่งเวลาท่านโปรดใคร ก็จะส่งรถไปรับมาทานข้าว และค้างคืนที่นี่    ตราบจนรัฐบาลคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจ พระองค์เสด็จลี้ภัยไปฝรั่งเศส และมีภรรยาชาวฝรั่งเศส ตราบจนสิ้นพระชนม์ เมื่อปี ๑๙๘๐ กว่าๆ   ดูจากรูปถ่าย พระองค์ก็ทรงสิริโฉมไม่เบาเลย

เท่าที่อยู่เวียดนามมา  คนเวียดนามไม่ค่อยผูกพันกับราชวงศ์โบราณของตน เหมือนเป็นแค่นิยาย  ศึกษาจากประวัติศาสตร์แล้วก็น่าเห็นใจ เพราะราชวงศ์โบราณของเวียดนาม ไม่ค่อยมีอำนาจ ถูกขุนนางปกครอง  เป็นหุ่นเชิดของชาวต่างชาติ ทั้งจีน ทั้งฝรั่งเศส ทำให้ประเทศถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา  ประชาชนรู้สึกไม่ได้รับความคุ้มครอง ไม่ได้รับความเป็นธรรมและมีชีวิตอย่างยากลำบาก ขาดแคลนอาหาร ในขณะที่เขามองว่ากษัตริย์และคนในราชวงศ์  ขุนนาง กินดีอยู่ดี อย่างฟุ่มเฟือย  เล่ากันว่า มีการค้นพบไข่มุก และสมบัติล้ำค่ากว่า ๑๒๒ ชิ้นที่วังแห่งนี้ ทั้งอ่างล้างมือทองคำ ประดับมุก ๑๖ เม็ด  ชามทองคำ เป็นต้น ซึ่งเป็นสมบัติของ พระมารดาของพระเจ้าบ๋าวด่าย  ปัจจุบันของล้ำค่าเหล่านี้ เก็บอยู่พิพิธภัณฑ์ Lam Dong ที่จริงแล้วที่เมืองดาลัด ยังมีพระราชวังฤดูร้อนอีกแห่งหนึ่ง ที่เก่าแก่กว่า และใหญ่กว่าที่นี่ แต่ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้เข้าชม  ไม่ทราบว่ากำลังบูรณะหรือเปล่า

การไปเยี่ยมชมสถานที่ำสำคัญ โบราณ หากไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ จะดูน่าเบื่อค่ะ แต่หากได้ทราบถึงประวัติของสถานที่ และยุคสมัย  ทำให้ดูแล้วได้อารมณ์ไปอีกแบบ  สามารถจินตนาการย้อนยุคไปได้ ทำให้เข้าใจถึงที่มาที่ไป และวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ และความรู้สึกของคนในยุคนั้นได้

ไม่มีความคิดเห็น: