ปลุกพลังอัจฉริยภาพให้ลูก สอนลูกให้ชนะโลก ให้อยู่รอดในโลกใบนี้ได้อย่างสนุกสนาน ในแบบที่ลูกเป็น ไม่ใช่ในแบบที่เราต้องการให้ลูกเป็น ด้วยพลังแห่งความรักความอบอุ่นของครอบครัว
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555
กว่าจะเป็นหนึ่งในตำนานของสตีฟ จ็อบส์ (7)
ก่อนที่จะมาลงรายละเอียดเรื่องการใช้ยาเสพติดของสตีฟ จ็อบส์ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตการศึกษาของเขาที่อยากจะเอามาพูดคุย เพราะในฐานะ พ่อแม่ หรือ ครูบาอาจารย์ อาจจะสามารถนำเรื่องนี้ มาปรับใช้ในการดูแลลูกหลานได้
ในตอนที่เรียนชั้นประถมปีที่ ๔ หรือ เกรด ๔ นั้น การเรียนของสตีฟ จ็อบส์ในโรงเรียน เริ่มมีแนวโน้มในทางที่ดี กล่าวคือ คุณครูของเขา ได้แยกเพื่อนคู่หู ขาโจ๋ของเขาไปเรียนที่ห้องอื่น ทำให้เขาไม่มีเพื่อนที่จะไปทำเรื่องแสบๆได้อีก และในปีการศึกษาใหม่นี้เองที่เขาได้ครูประจำชั้นคนใหม่ ที่เป็นคนกล้าและเอาจริงเอาจังในการสอน ในหนังสือเล่มนี้ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ได้เล่าเรื่องราวสมัยที่เรียนเกรด ๔ หรือ ประมาณ ประถม ๔ ของสตีฟ จ็อบส์ว่า
"จ็อบส์เล่าว่า "ครูเท็ดดี้เป็นแม่พระในชีวิตผมเลย" หลังจากเฝ้าดูจ็อบส์ไม่กี่อาทิตย์ ครูก็รู้ว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้จ็อบส์น้อยตั้งใจเรียนคือ ต้องติดสินบนกันนิดหน่อย "วันหนึ่งหลังเลิกเรียน ครูยื่นแบบฝึกหัดเลขให้ผม บอกให้เอากลับไปทำที่บ้าน ผมคิดในใจว่า "ครูจะบ้าเหรอ" แล้วครูก็เอาอมยิ้มแท่งเบ้อเริ่มออกมาโชว์ ครูบอกว่า ถ้าืำืทำเสร็จและคำตอบถูกเป็นส่วนใหญ่ ครูจะให้อมยิ้มแท่งนั้น กับเงินอีก 5 เหรียญ ผมเอาการบ้านกลับไปทำแล้วเอามาส่งในอีก 2 วันต่อมา" หลังจากนั้นไม่ีกี่เดือน จ็อบส์ก็ไม่ต้องรับสินบนจากครูอีกต่อไป "ผมอยากเรียนและอยากทำให้ครูดีใจ"
ครูฮิลล์ก็ตอบแทนด้วยการหาชุดเครื่องมือสำหรับทำงานอดิเรกต่างๆมาให้ เช่น ชุดสำหรับฝนเลนซ์และทำกล้องถ่ายรูป "ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆจากครูเท็ดดี้มากกว่าจากครูคนไหนๆ ถ้าไม่มีเธอ ผมคงเข้าไปนอนในคุกแล้ว" เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ความคิดเรื่องการเป็นคนพิเศษออกมาให้เห็น "ในชั้นเรียน ครูแคร์ผมคนเดียวเท่านั้น ครูเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม"
จากเรื่องราวข้างต้น ทำให้ดิฉันนึกย้อนถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในโรงเรียนในช่วงที่เขาเข้าเรียนหนังสือในปีแรกๆ ความที่เขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิสระเสรี พ่อแม่บุญธรรมของเขาเชื่อเสมอว่า สตีฟ เป็นเด็กที่ไม่ธรรมดา และมีความสามารถพิเศษ เปิดโอกาสให้เขาศึกษาเรียนรู้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพที่เขามี ทำให้เขามีความรู้มากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน จากที่ทราบมาแล้วว่า คุณแม่บุญธรรมของเขา สอนเขาให้อ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนประถม ประกอบกับการได้เีัรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก จากพ่อมาแต่เล็ก อาจจะทำให้การเรียนในโรงเรียนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและไม่สนุกก็เป็นได้ เพราะไม่มีแปลกใหม่ และไม่เคยรู้มาก่อน
อีกประการหนึ่ง ด้วยพื้นนิสัยเป็นเด็กรักอิสระ และถูกเลี้ยงดูมาอย่างอิสระ และตามใจ ทำให้เมื่อต้องมาอยู่ในระเบียบวินัย อยู่ในกรอบกฎกติกา ทำให้เขาอึดอัด และหงุดหงิด จนต้องหาเรื่องอาละวาด ทำเรื่องวุ่นวาย เมื่อเด็กไม่อยู่ในระเบียบวินัย ไม่เชือ่ฟัง ไม่อยู่ในกรอบกติกาที่กำหนด ก็ย่อมถูกคาดโทษ เพ่งเล็งว่า เป็นเด็กที่มีปัญหา และอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากครูที่มาสอนก็เป็นได้ และสิ่งนี้ยิ่งทำให้เด็กเกลียดการเรียน เกลียดโรงเรียน เพราะโรงเรียนกลายเป็นสถานกักกัน ไม่มีคนที่รัก ไม่มีความอบอุ่น จึงเป็นเรื่องที่ไม่สนุกที่ต้องมาเรียนหนังสือ ต่อมาในชั้นเกรด ๔ เขาเจอครูที่ให้ึความสนใจ เห็นคุณค่าในตัวของเขา และสิ่งที่เธอให้เขาทำนั้น ทำให้เขามีความเชื่อมั่นว่า เขาทำได้ดีกว่าเด็กคนอื่นๆ ซึ่งนำพาความภาคภูมิใจมาให้ตัวเขาและพ่อแม่ เขาจึงเริ่มมีความเพียร และสนุกกับการเรียน
เทคนิคที่ครูเท็ดดี้ใช้กับการดัดนิสัยของสตีฟ จ็อบส์ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ การที่สตีฟ จ็อบส์มีปัญหากับการเรียนและโรงเรียนมาอย่างหนักใน 2-3 ปีแรกของการเรียนหนังสือนั้น เชื่อว่าเขาคงไม่ค่อยตั้งใจเรียน และไม่ค่อยทำการบ้าน จึงทำให้พื้นฐานความรู้ไม่แน่น การดึงดูดให้สตีฟ จ็อบส์ มาทำการบ้าน ทำแบบฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอนั้น ช่วยแก้ปัญหาพื้นฐานความรู้ที่ไม่แน่นของเขาให้ดีขึ้น เด็กที่มีพื้นฐานการเรียนไม่แน่น พื้นความรู้ไม่ดี มักมีความไม่มั่นใจในการเรียนและอาจจะเรียนไม่รู้เรื่อง เมื่อเขาสามารถทำได้ เรียนรู้เรื่อง เขาก็จะเริ่มสนุกกับมัน และการบังคับหรือการติดสินบนให้ทำ ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
การให้รางวัลนี่ก็เป็นเทคนิคที่น่าสนใจ การให้รางวัลพร่ำเพรื่อ ให้ของรางวัลไม่จูงใจ ก็ทำให้การให้รางวัลเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหาย มากกว่าสร้างแรงจูงใจ ครูท่านนี้ เลือกให้ของรางวัล ของขวัญที่ตรงตามนิสัยของสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งทำให้เธอสามารถฝ่ากำแพงอคติที่เขามีต่อครู ต่อโรงเรียนได้ และผลงานที่เธอทำให้เขามีการเรียนที่ดีขึ้น สนุกกับการเรียน ทำให้เขามีความรัก ความเชื่อมั่นในตัวเธอและยินยอมทำตามด้วยความสมัครใจ
"ตอนใกล้จบเกรด ๔ ครูฮิลล์ให้จ็อบทำข้อสอบ เขาเล่าว่า" ผมสอบได้เทียบเท่ากับนักเรีัยนเกรด 10" เป็นอันชัดเจนว่า ความสามารถพิเศษด้่านวิชาการของเขาเป็นที่ประจักษ์ไม่เพียงแต่เฉพาะตัวเขาเองและพ่อแม่เท่านั้น แต่ครูก็รู้แล้วด้วย โรงเรียนจึงเสนอกให้เขาข้ามเกรด 5 เกรด 6 ไปเข้าเรียนเกรด 7 ได้เลย นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้จ็อบรู้สึกท้าทายและอยากเรียนหนังสือ แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง พอลและคลาร่าตัดสินใจให้จ็อบส์ข้ามชั้นเรียนเพียงชั้นเดียวเท่านั้น"
ในช่วงที่เรียนเกรด ๖ นั้น สตีฟ จ็อบส์ ต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอื่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเดิมนัก ที่แย่คือ โรงเรียนนี้ มี "สิ่งแวดล้อม" ที่ไม่ดี มีแก็งก์มากมาย มีความรุนแรง ขู่กรรโชกทรัพย์กัน และข่มขืน สตีฟ จ็อบส์ ที่เพิ่งปรับทัศนคติที่ดีต่อการศึกษา ต้องผจญกับการถูกรังแกบ่อยๆ จนสตีฟ จ็อบส์ต้องขอย้ายโรงเรียน
ตอนที่เรียนเกรด ๙ นั้นเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งของการศึกษาของเขา ตอนนั้นเขาน่าจะประมาณ ม. ๓ ในเมืองไทย นับอายุน่าจะประมาณ 12-13 ปี เข้าสู่วัยรุ่น วัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เขาไ้ด้ย้ายมาเรียนที่ Homestead High และได้ใกล้ชิดไอที และยาเสพติดเ็ป็นครั้งแรก วอลเตอร์ ไอแซคสันได้เล่าถึงช่วงนี้ไว้ว่า
"จ็อบส์มีเพื่อนในวัยเดียวกันไม่มากนัก แต่รู้จักรุ่นพี่หลายคนที่ตื่นตัวในกระแสต่อต้านวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในปลายทศวรรษ 1960 ช่วงนั้้นเป็นช่วงที่โลกของพวกเซียนเทคโนโลยีกับพวกฮิปปี้เริ่มทับซ้อนกัน "เพื่อนผมหลายคนเป็นเด็กฉลาดมาก ผมชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กับอิเล็กทรอนิคส์ เพื่อนผมก็ชอบเหมือนกัน แล้วก็ LSD (ยาเสพติดชนิดหนึ่ง) ด้วย และชอบท่องเที่ยวกับพวกฮิ้ปปี้ที่ทำอะไรสวนกระแสวัฒนธรรมในขณะนั้น"
"ระหว่างที่เรียนอยู่เกรด 10 และ 11 ที่ Homestead High จ็อบส์เริ่มหัดสูบกัญชา "ผมหัดสูบตอนอายุ 15 ปี แล้วก็เริ่มสูบเป็นประจำ" มีอยู่ึึครั้งหนึ่ง พ่อจับได้ว่ามีกัญชาอยู่ในรถเฟียตของลูกชาย "นี่มันอะไร" พ่อถาม จ็อบส์ตอบหน้าตาเฉยว่า "ก็กัญชาไงพ่อ" นั่นเป็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตจ็อบส์ที่เห็นพ่อโกรธจัด "เป็นครั้งเดียวที่พ่อกับผมทะเลาะกันอย่างแรง" แต่ในทีุ่สุดพ่อก็ยอม "พ่อขอให้ผมสัญญาว่าจะไม่สูบกัญชาอีก แต่ผมไม่ยอมสัญญา" ที่จริงตอนเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย จ็อบส์ได้ลอง LSD ด้วย ผลรุนแรงถึงขนาดทำให้ประสาทหลอนและนอนไม่หลับ "ผมเริ่มลองอะไรบางอย่างหนักขึ้นด้วย" บางทีก็ลองเสพยาด้วย ส่วนใหญ่จะทำเวลาอยู่ในรถหรือออกไปเที่ยวเล่นที่สนาม"
อ่านมาถึงตอนนี้ในความเห็นส่วนตัวของดิฉันนั้น ดิฉันคิดว่า ตลอดจนเ้ส้นทางการศึกษาของสตีฟ จ้อบส์นั้น เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีโชคด้านการศึกษาในโรงเรียน เพราะมาเจอครูที่ไม่เข้าใจเขา และเจอเพื่อนหรือสังคมที่ไม่ค่อยดี สิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนเป็นพิษ ทำให้เขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักในการศึกษาเท่าที่ควร ทั้งๆที่เป็นคนเก่ง และมีความสามารถ การเข้าใกล้เรื่องยาเสพติดของเขานั้น มีมาจากหลายๆประเด็น แต่เรื่องสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษา กลุ่มเด็กนักเรียนที่เขาคบหานั้น ชักจูงเขาให้เข้าหายาเสพติด จะว่าแบบนั้นก็ได้ และเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรให้ความระมัดระวัง โรงเรียนดัง สถาบันดี ไม่ได้เป็นเครื่องบอกว่า ลูกจะไปเิดินไปในทางที่ผิด ทางที่ดีพ่อแม่ควรสอดส่องดูเพื่อนๆของลูก วัฒนธรรมโรงเรียนของลูก ว่า มีแนวโน้มไปในทางที่เป็นพิษหรือไม่ เพราะคนที่เข้าในติดกับสังคมแย่ๆ เพื่อนแย่ๆ หรือยาเสพติด มีไม่กี่คนหรอกค่ะ ที่จะมีความเข้มแข็งและสามารถหลุดออกจากวงจรอุบาศก์พวกนี้ได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น