วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ฝึกทักษะเรื่องการบริหารเงินผ่านเกมเศรษฐี






เกมเศรษฐี Monopoly เป็นอีกหนึ่งเกม ที่อยากเชียร์ให้พ่อแม่ลูกประถมต้น มาชวนลูกเล่นนะคะ มันสอนเรื่องการมอง การบวกลบได้ดี และสอนเศรษฐศาสตร์ สังคม ภาษาไทยด้วย หรือ หากซื้อ Version ภาษาอังกฤษ ก็สอนภาษาอังกฤษ สอนเด็กให้รู้จักการวางแผนทางการเงิน การลงทุน ตอนที่เราเล่นกับลูก เราสอนลูกเรื่องการใช้จ่าย การลงทุนได้ด้วย

ระหว่างการเล่น ดิฉันให้น้องแชง ลูกชายป.1 ขึ้นป.2  ทำหน้าที่ ในการอ่านกติกาของเกม  นี่เป็นอุบายให้เด็กฝึกอ่านค่ะ อ่านออกเสียง แล้วให้อธิบายกติกา ให้น้องชายฟัง  ในระหว่างเล่น เค้าทำหน้าที่เป็นธนาคารไปด้วย 
อ่านคำในกองปริศนา หรือ หีบสมบัติว่า เค้าให้ทำอะไร   อ่านทั้งภาษาไทยและอังกฤษ  ลักษณะนี้ล้วนเป็นการฝึกทักษะการอ่าน การฟังของเด็กๆทั้งสิ้น และเค้าจะทำด้วยความเต็มใจค่ะ เพราะอยากเล่น

การทำหน้าที่"ธนาคาร" ไปด้วย นับเงินแจกเงินตามกติกา รับเงิน ทอนเงิน   ซึ่งเป็นการฝึกทักษะด้านคณิตศาสตร์ และการนับเงิน ทอนเงิน ที่เด็กๆจะต้องเริ่มฝึกทักษะเหล่านี้ในการใช้ชีวิตในโลกภายนอก    ส่วนลูกคนเล็กอ.3 ยังอ่านไม่เก่ง ให้เค้าทำหน้าที่นับแต้ม ในลูกเต้า ทำให้ฝึกทักษะคณิตคิดเร็ว และการมองให้เค้าค่ะ

ระหว่างที่เล่น จะมีคำว่า "ดอกเบี้ย" "ปันผล" "ภาษีมูลค่าเพิ่ม" "ภาษีเงินได้" "ค่าเช่า"  ซึ่งเราจะถือโอกาสนี้ สอนลูกทั้งคำศัพท์ไทย และอังกฤษ   นอกจากเราจะอธิบายแล้ว เด็กก็เข้าใจด้วยการเล่นว่าแบบนี้ได้เงิน หรือเสียเงิน 

ในตอนที่เล่น เราจะสามารถสอนลูกเรื่องจังหวะการลงทุน ว่า ไม่ใช่ มีเงินเท่าไหร่ซื้อจนเงินหมด ไม่เผื่อฉุกเฉิน  ต้องคอยให้ลูกนับเงิน จัดเงินของตัวเอง คอยดูว่า ตัวเองมีเงินเท่าไหร่  น่าซื้อหรือไม่น่าซื้อ  หากเงินเหลือน้อย  เราก็จะชะลอการลงทุน ไม่เสี่ยงเกินไป  แต่หากมีเงินมาก เราก็สอนให้ลูกลงทุน รับผลตอบแทนที่แตกต่าง เช่นหากมีที่ดิน แล้วปลูกบ้าน ปลูกโรงแรม เราจะมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
หรือ เมื่อหมดตัว ก็รู้จักเลือกขายทรัพย์สินตัวไหนดี  ตัวไหนควรเก็บ เพราะอะไร เป็นต้น 

ยังมีชื่อจังหวัดสำคัญในภาคต่างๆ การไฟฟ้า ปะปา สถานีรถไฟ ซึ่งเป็นความรู้รอบตัวที่เด็กๆควรรู้ เราอาจจะเปิดหนังสือ จังหวัดต่างๆ เปิดแผนที่ให้เด็กๆได้เรียนรู้ไปด้วย เพราะช้าเร็ว เค้าก็ต้องเรียนเรื่องนี้ จะได้เรียนล่วงหน้า ไม่ต้องท่องจำ เราเสียเวลาเล่นกับลูกครั้งละ 2-3 ชม. แต่สอนลูกได้มากมาย และสนุกด้วยค่ะ Highly Recommend

ลูกอนุบาล เริ่มเข้าป.๑ พ่อแม่ลูกปรับตัวกันหรือยัง (3)



เรื่องเกี่ยวกับการให้เงินค่าขนม นี่เป็นเรื่องที่เราในฐานะพ่อแม่ ต้องมีวิธีในการสอนลูกค่ะ และถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่เราต้องสอนลูกค่ะ มิฉะนั้น ลูกจะติดนิสัย กลายเป็นเด็กมีปัญหาเรื่องวินัยทางการเงินในอนาคต และออมไม่เป็นได้

เด็กๆที่เรียนในสถาบันที่มีความเหลื่อมล้ำทางการเงินสูงๆ หรือ เรียนในโรงเรียนที่มีลูกหลานคนมีเงินมากๆ ผปค. มักจะให้เงินจำนวนมากกับเด็ก รวมทั้งการตามใจ ซื้อของเล่น ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง และสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งเมื่อเด็กๆเห็น ก็อยากได้ อยากมี บ้าง และอาจจะกลายเป็นปมด้อย โดนกีดกันจากกลุ่มเพื่อน เพราะเด็กๆ ที่ผปค.ไม่ค่อยสั่งสอน เรื่องความเมตตา การเคารพให้เกียรติคนอื่น ก็จะเหยียดหยามเพื่อน ดูถูกคนอื่น (เหมือนนิสัยของผปค.)


ดังนั้น การฝึกเด็กของเราให้แข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องจำเป็นค่ะ มิฉะนั้นลูกของเรา ก็จะกลายเป็นเหยื่อได้ ของดิฉันนี่ ลูกก็มีมาเล่าเหมือนกันค่ะ เพราะครอบครัวของเรา สั่งสอนลูกต่างจากครอบครัวในกทม. หลายเรื่อง เช่น การใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ เราไม่ค่อยดูทีวี เราไม่ดูการ์ตูน เราไม่ค่อยเดินเปะปะในห้างสรรพสินค้า โดยไม่จำเป็น และเราไม่ค่อยทานอาหาร Fast Food เป็นต้น ตอนที่ลูกมาเมืองไทย ใหม่ ก็มาเล่า ว่าทำไมเพื่อนทำแบบนั้น มีแบบนี้ แต่เค้าไม่มี แต่เราก็คำอธิบายค่ะ ว่า สิ่งนั้น สิงนี้ ไม่ดี อย่างไร หรือ ดีอย่างไร


พอเอาเข้าจริงๆ เราก็พาลูกไปลองดูนะคะ ลองดูการ์ตูนที่เค้าฮิตๆกัน กิน Fastfood เดินห้างสรรพสินค้า แต่ลูกก็ไม่ชอบค่ะ เพราะเราฝึกมาจนเป็นนิสัย เมื่อเค้าเจอรสชาติที่แตกต่าง ของอาหาร Fastfood เค้าก็ไม่รู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ ให้ดูการ์ตูนที่สู้กัน เค้าก็รู้สึกเครียดและกลัว เดืนห้าง ก็รู้สึกพลุกพล่าน สับสน เราจึงสรุปให้เค้ารู้ว่า สิ่งที่คนอื่นเค้า ทำกัน มีกัน มันไม่ใช่เรื่องดี ทุกเรื่อง คนแต่ละคน ก็เป็น "เหยื่อ" ของนักการตลาด เราจะใช้ชีวิตแบบไหน เราต้องเลือกในสิ่งที่คุ้มค่า และดีกับเรา ดีกับโลกของเรา มากกว่า ใช้ตามกระแส เดินตามกระแส ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้น มันทำลายเรา มากกว่าจะให้ประโยชน์


เรื่องการสอนลูกให้แยกแยะสิ่งดี สิ่งไม่ดี คนดี คนไม่ดี เป็นเรื่องจำเป็นค่ะ และต้องสอนแต่เล็กๆ เพราะหากโตกว่านี้ ประถมปลาย มัธยม ลูกจะไม่ฟังเราแล้วค่ะ เพราะถึงตอนนั้น เค้ารักและผูกพันกับเพื่อน กลายเป็นว่า หากคบเพื่อนดี ก็ดีไป หากคบเพื่อนไม่ดี เราอาจจะต้องพาเปลี่ยนโรงเรียนไปเลย เพื่อหนีเพื่อนที่ไม่ดี


ดิฉันมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าทางโรงเรียนจะดีเลิศเพียงใด ก็ย่อมมีเด็กบางคนที่มีปัญหา แม้ว่าจะสอนมาด้วยระเบียบ ระบบเดียวกัน แต่พื้นสันดานเด็กที่ต่างกัน และที่สำคัญคือ การดูแลเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ต่างกัน ทำให้ทุกๆโรงเรียน มีนักเรียนที่มีปัญหาค่ะ คนเรานั้นไม่ Perfect หากเด็กมีปัญหาพฤติกรรมไม่มาก หรือ ในเรื่องที่ไม่ซีเีรียส ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่หากเด็กมีปัญหามากๆ แสดงออกพฤติกรรมที่รุนแรง หรือ พูดจาใหญ่โต โอ้อวด แบบนี้ต้องระวัง เพราะหากติดเป็นนิสัยตอนโต อาจจะกลายเป็น อันธพาลได้


ดังนั้น ทุกครั้งที่ลูกมาเล่าเรื่องเพื่อนว่า ทำไม เพื่อนพูดแบบนี้ เพื่อนคนนี้ทำแบบนั้น ดิฉันก็ฟังดูว่า เด็กมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายหรือไม่ แล้วแยกแยะให้ลูกฟังค่ะ ว่า แบบนี้ ดี แบบนี้ไม่ดี หรือไม่อย่างไร และลองถามลูกว่า ลูกจัดการอย่างไร ลูกคิดอย่างไร หลายๆครั้ง ดิฉันก็เล่าข่าว เล่านิทาน ที่เกี่ยวกับพฤติกรรม ต่างๆ เช่น คนที่ขับรถซี้ซั๊ว เห็นแก่ตัว ทำให้คนอื่นเป็นอันตราย หรือ คนฉ้อโกง คนแซงคิว และอื่นๆ มาเล่าให้ลูกฟังค่ะ เพื่อให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ต้องระวังของคน


เหมือนเราซื้อปลา เราต้องสอนลูกให้ดูว่า ปลาสด ปลาดีเป็นอย่างไร ปลาไม่สด ปลาเน่า ไม่ควรซื้อเป็นอย่างไร หากเค้ามีข้อมูลเหล่านี้ไว้ ต่อไป เค้าก็จะมีสัญชาตญาณว่า คนแบบไหน คบได้คบไม่ได้ เจอคนทำแบบนี้ เค้าจะหลบหลีก แก้ปัญหาอย่างไร

สิ่งเหล่านี้ เราต้องสอนตั้งแต่ประถมต้นนี่แหล่ะค่ะ มันจะปลูกฝังลงในจิตใต้สำนึกเลย ในขณะเดียวกัน ในฐานะผปค. เราก็ควรพูดคุย หารือกับครูของลูกบ่อยๆ  หากเรามีข้อสงสัยหรือไม่สบายใจ เพื่อขอคำแนะนำ หรือขอความร่วมมือจากครู ในการแก้ปัญหาพฤติกรรมของลูก หรือ ปัญหาของเด็กๆในห้อง มันจะช่วยป้องกันปัญหาได้มากค่ะ โดยเฉพาะเรื่องการบาดเจ็บ การทะเลาะวิวาท  จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต

อยากเล่าอีกเรื่องนึง คือ ดิฉันเคยเจอเด็กป.๓ คนนึง เป็นเด็กดีค่ะ น่ารักมาก ร่าเริง คุยเก่ง เด็กคนนี้ แกเล่าให้ดิฉันฟัง เรื่องการหารายได้ของแกที่โรงเรียน

แกบอกว่า แกชอบซื้อ การ์ดการ์ตูน แบบโน้นแบบนี้ แล้วไปขายต่อให้เพื่อน ซื้อมา 3 บาท ขายต่อ สิบบาท เพราะเพื่อนอยากได้มาก เป็นต้น เด็กคนนี้ เป็นเด็กมีพรสวรรค์ ค่ะ เค้าชอบคุยกับเพื่อนๆ ผู้ชาย ผู้หญิง ว่าอะไรกำลังอินเทรนด์ เพื่อนๆกำลังสนใจเรื่องอะไร และเจ้าตัวก็เป็นคนบ้าซื้อของ เวลาไป เค้าเห็นและจำได้ว่า แบบนี้ เพื่อนๆน่าจะสนใจ เค้าจะซื้อมาขายต่อ บางอยางที่เค้าชอบ เค้าก็ไม่ขาย เค้าเอาไปอวดเพื่อน ด้วยความที่ขี้โม๊ ทำให้เค้าโม๊ จนเพื่อนอยากได้มากๆ ซื้อต่อในราคาแพง

ดิฉันเจอผปค.ของน้องคนนี้ เป็นคนธรรมดาค่ะ และไม่ได้อยากให้ลูกใช้จ่ายแบบนี้ แต่เด็กเค้าเป็นของเค้าเองแบบนี้ มีหัวการค้า มีพรสวรรค์ เลยทำมาหากิน กับเพื่อนๆนี่แหล่ะ

คำถามของดิฉันก็คือ หากเพื่อนๆของลูกของเรา เป็นแบบนี้ ลูกของเรา เห็นอะไรก็อยากได้ ฟังคำคุยโม๊ คุยโต ก็อยากได้ ซื้อของแพงเกินความจำเป็นนี่ รับกันได้ไม๊ล่ะคะ นี่เด็กแค่ป.๓ เค้าก็มากันแบบนี้แล้ว ไม่นับรวม โรงเรียนทั่วๆไป ที่อาจจะมีปัญหายาเสพติด ยาบ้า หรือ อื่นๆ เด็กประถม เค้าหลอกขายยาให้เพื่อนเสพแล้วค่ะ

การสอนลูกให้ฉลาดรู้ ภัยมนุษย์ พฤติกรรมที่ต้องระวังของตน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ นี่ เป็นเรื่องจำเป็นมากค่ะ เพราะเราเอง ก็ไม่สามารถเข้าไปล้วงลูก ช่วยลูกได้เหมือนในชั้นอนุบาลแล้วนะคะ  และก็ไม่ควรจะทำด้วย หากไม่จำเป็น  การที่เราเอาลูกเข้าโรงเรียนใด เราควรมีความเชื่อมั่นในโรงเรียนและในครู  หากมีเรื่องราวใดๆ ควรหารือ ควรแจ้งให้ครูทราบ เพื่อหาทางป้องกันแก้ไข  และให้กำลังใจ ชี้แนะลูกของเราในการจัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาเรื่องเพื่อนๆร่วมห้อง ร่วมโรงเรียน

เตือนกันให้ทราบ จะได้วางแผนการสอนลูกให้ดี อย่าเน้นแต่วิชาการ การช่วยเหลือตัวเองอย่างเดียว การสอนลูกเรื่องโลก เป็นเรื่องสำคัญค่ะ

ลูกอนุบาล เริ่มเข้าป.๑ พ่อแม่ลูกปรับตัวกันหรือยัง (2)



สิ่งที่เพื่อนผปค. ควรฝึกฝนลูกก่อนเปิดเทอมอีกส่วนนึง คือ ทักษะการช่วยเหลือตนเอง การรับผิดชอบต่อตนเอง โรงเรียนระดับประถมเป็นต้นไปนั้น มีความเข้มงวดเรื่องเวลาเข้าเรียน มีเวลาเข้าเรียนที่แน่นอน หากไปสาย เด็กก็จะถูกแยก และถูกลงโทษตามวินัย ดังนั้น การฝึกให้เด็กนอนแต่เช้า ตื่นแต่เช้า เป็นเรื่องที่จำเป็น พ่อแม่กลุ่มที่มักจะชอบให้ลูกสบายๆ ตื่นสาย ไปโรงเรียนสาย ควรเริ่มฝึกลูกตั้งแต่ตอนนี้ ฝึกปรับเวลาลูกให้นอนเร็วขึ้น ครั้งละ 15 นาที ปลุกให้เร็วขึ้น จนกระทั่งได้เวลาที่ปกติ เด็กจะต้องตื่น เพื่อให้ทันไปโรงเรียนค่ะ เวลาที่เหลือเดือนกว่านี่ เพียงพอค่ะ ที่จะฝึกเด็กในเรื่องนี้



เด็กๆในกทม. จำนวนนึงที่พบเห็นนั้น ยังแต่งตัวเองไม่เป็น ผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น เมื่อเปิดเทอม ต้องตื่นแต่เช้า รีบร้อนไปโรงเรียน ดังนั้น ผปค. หรือพี่เลี้ยง ก็จะรีบมาช่วยเด็กๆ ในการแต่งตัว ผูกเชือกรองเท้า ทำให้เด็กไม่ได้ฝึกช่วยตัวเอง เมื่ออยู่ในโรงเรียน ต้องเปลี่ยนชุดพละ ชุดกีฬา ในชม.เรียนก็ทำไม่ได้คล่องแคล่ว เชือกรองเท้าหลุด ก็ผูกไม่เป็น ทำให้ถูกครูดุ และอับอายเพื่อน ที่ตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้ จะทำให้ลูกเสีย Self หมดความภาคภูมิใจได้นะคะ





ดังนั้น สิ่งที่พ่อแม่สามารถฝึกลูกได้ในช่วงปิดเทอม ก็คือ ฝึกให้ถอดเสื้อผ้าเอง ใส่เสื้อผ้า ผูกเชือกรองเท้า ใส่ถุงเท้า สอดเสื้อเข้าใต้กางเกง ใส่เข็มขัด น้องผู้หญิง ก็ควรฝึกให้หวีผม ทำผมเอง หาวิธีทำให้เร็วๆ จะได้กะเวลาตื่น เวลาแต่งตัว และออกจากบ้านได้เหมาะสม เด็กป.๑ โดยเฉพาะน้องผู้หญิงก็ควรฝึกให้ซักกางเกงใน ชุดชั้นในของตัวเองได้แล้วเช่นกันค่ะ ให้จัดห้อง จัดหนังสือ ข้าวของของตัวเอง เพื่อที่เปิดเทอม จะได้เตรียมจัดหาตารางสอน ข้าวของที่ครูสั่งด้วยตนเองค่ะ



เรื่องการผูกเชือกรองเท้านี่ กว่าจะได้ จำได้ว่าฝึกประมาณกว่า 3 ชม.ค่ะ ตอนนี้ไปเรียนเตรียมความพร้อมที่โรงเรียน ใส่ เครื่องแบบเต็มพิกัด เชือกรองเท้าหลุดบ่อย ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะชำนาญขึ้นเรื่อยๆ และครูที่โรงเรียนก็มีเทคนิคในการแนะนำเด็กๆว่า ทำอย่างไร จึงจะทำได้เร็วด้วยค่ะ



ตอนสอนนี้ ดิฉันแยกสอนเป็น Step ให้ทำแต่ละขั้นตอนจนคล่อง ก่อนขึ้นขั้นตอนต่อไป พอทำได้หมด ก็ให้ซ้อมแบบครบทุกขั้นตอน แรกๆมีร้องไห้เหมือนกัน แต่พอเค้ารู้ว่า ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็ฮึดสู้ ก็ทำได้เอง อิ อิ



เราเป็นพ่อแม่ ต้องใจแข็งเข้าไว้ อะไรเป็นหน้าที่ของลูก อย่างไรเสียก็ต้องใจแข็งให้ลูกทำเอง ช่วยตัวเองให้ด้ เพราะเราก็ไม่มีปัญญาไปตามผูกเชือกรองเท้าให้ลูกได้ตลอดไปหรอกค่ะ



วันก่อน อจ. ที่โรงเรียนลูก ประกาศไมโครโฟน ให้พ่อแม่ ปล่อยให้ลูกทำเอง ก่อนออกจากโรงเรียน แต่งกายให้เรียบร้อย สอดเสื้อเข้าในกางเกง ผูกเชือกรองเท้าให้เรียบร้อย หิ้วกระเป๋าของตัวเอง อย่าไปช่วยเด็ก ท่านบอกว่า ให้พ่อแม่ฝึกทักษะชีวิตขั้นพื้นฐานให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง ไม่งั้น ต่อไป ลูกจะไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน เพราะพ่อแม่ช่วยหมด แล้วจะมีผลต่อปัญหาการรับผิดชอบต่อการเรียนของเด็กด้วยค่ะ





แต่มองๆดู พ่อแม่ ผปค. ก็ไม่เห็นจะฟังครูนะคะ ต่างช่วยผูกเชือกรองเท้า หิ้วกระเป๋าให้ลูก และ ไม่แต่งตัวลูกให้เรียบร้อย บางคนแทบจะอุ้มออกจากโรงเรียนด้วยซ้ำไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คิดยังไง

ลูกอนุบาล เริ่มเข้าป.๑ พ่อแม่ลูกปรับตัวกันหรือยัง (1)

เพื่อนๆผปค. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนผปค.ที่พาลูกติวเข้ม เพื่อสอบเข้าสาธิตมาเป็นแรมปี เด็กๆไม่ได้ฝึกทักษะอย่างอื่น มากไปกว่าการฝึกทำข้อสอบเชาวน์ เด็กๆที่สอบเข้าสาธิตได้ คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะพอเปิดเทอม การเรียนก็ยัง เรื่อยๆ ไม่หนักมาก ตามประสาโรงเรียนสาธิต แต่เด็กๆที่พลาด ต้องมาเรียนในโรงเรียนแนววิชาการ ก็อาจจะต้องเตรียมความพร้อมด้านการเรียนกันสักนิด ไม่งั้น ทักษะการเรียนไม่พอ อาจจะทำให้มีปัญหาด้านการเรียนได้

ทักษะการเรียนที่สำคัญ ที่ผปค.สามารถช่วยเตรียมลูกได้ คือ การทบทวน การเรียนในชั้นอ.๓

- ให้ทำแบบฝึกหัดเลข อ.๓ บวกลบ พื้นฐานให้คล่อง และเร็วๆ เข้าไว้ค่ะ ฝึกวันละ 10 ข้อก่อน แล้วค่อยๆเพิ่ม เพื่อให้บวกลบในใจได้ คิดเลขได้เร็ว เพราะพอเรียนประถม โจทย์เลขจะซับซ้อนขึ้น ต้องทำหลายขั้นตอน หากบวกลบ ช้า ยังต้องนับนิ้ว การทำการบ้านในชั้นป.๑ ขึ้นไป จะรู้สึกนาน และยาก เด็กๆจะเบื่อค่ะ และไม่อยากทำ การเรียนเลขจะกลายเป็นยาขม สำหรับการเรียนไปเลยค่ะ


- ให้ฝึกทักษะการฟัง ควรฝึกทั้งความเข้าใจ และฝึกทั้งการฟังแล้วจดตามคำบอก คุณแม่อาจจะอ่านนิทาน หรือ ข้อมูลใหม่ๆให้น้องฟังสักหนึ่ง ย่อหน้า แล้วถามว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร หรือ อาจจะเล่าให้น้องฟัง แล้วให้น้องสรุปว่า เรื่องราวท่แม่เล่านี้ เป็นอย่างไร ตามความเข้าใจของเค้า อีกวิธีนึง เราอ่านประโยค แล้วให้ลูกเขียนตามทีละประโยค แบบบอกจด น่ะค่ะ การฝึกแบบนี้ จะช่วยให้น้อง สามารถฟังการสอนในห้องเรียนได้ดี จดจำที่ครูพูดได้ และจดการบ้านได้ทัน

- ฝึกให้คัดลอก ดิฉันให้คัดลอกนิทาน วันละ หนึ่งย่อหน้า หากเรียนสองภาษา ก็ให้คัดลอกทั้งไืทย และอังกฤษ อันนี้ เป็นการฝึกจดการบ้านบนกระดาน และจดงานตามที่ครูสอนในห้องค่ะ จะได้ลอกได้เร็ว ลอกได้ทัน และเรียบร้อย


- หากเรียนในเครือ แคธอลิค คริสต์ ที่เน้นภาษาอังกฤษ ควรฝึกให้ท่องศัพท์ง่ายๆ วันละ ๕ คำก่อน แล้วเพิ่มเป็น ๑๐ คำ เพราะโรงเรียนในเครือเหล่านี้ จะมีการบ้านให้เด็กท่องคำศัพท์ค่ะ และมีการสอบเก็บคะแนน หากไม่ฝึกทีละน้อย เอาคำง่ายๆให้ฝึก เจอคำยาก จะท้อค่ะ เทคนิคตอนนี้ ให้ฝึกแล้ว เอามาเล่นเป็นเกม ให้สติกเกอร์ ให้ดาว เก็บแต้ม แลกขนม อะไรก็ว่าไป ฝึกให้ชิน พอฝึกๆไป ลูกจะหาเทคนิคเฉพาะตัว ในการท่องจำ แล้วต่อไป เค้าจะมีหลักในการท่องศัพท์ค่ะ

- ลูกใครยังวาดรูปไม่ค่อยเก่ง หรือไม่ชอบวาดรูป ก็ควรจะพยายามหาวิธีให้ลูกสนุกกับการวาดรูป รูปที่วาด ไม่จำเป็นต้องสวยเลิศ แต่ให้สื่อสารได้ หากวาดรูปได้ จะช่วยเรื่องการจดบันทึก การจดงานได้มากค่ะ เพราะเชื่อว่า ตอนนี้ Mindmapping น่าจะเป็นทักษะ ที่หลายๆโรงเรียนเอามาสอนเด็ก เป็นหนึ่งในเทคนิคการเรียนที่สำคัญค่ะ ในการเรียนระดับสูงขึ้นไป

- โรงเรียนไหน ที่เด็กๆต้องมีพละเป็นวิชาว่ายน้ำ แล้วเด็กๆยังว่ายน้ำไปเป็น ก็ควรพาลูกไปเริ่มๆ ทำความคุ้นเคยกับสระว่ายน้ำนะคะ พาไปเล่นน้ำ ให้สนุกคุ้นเคย จะเริ่มเรียนเลยก็ได้ค่ะ ให้เลือกครูที่สอนสนุก เด็กจะได้มีทัศนคติที่ดีกับการว่ายน้ำ พอต้องเรียน จะได้ไม่กลัว ตอนนี้มีเด็กๆหลายคน อาจจะว่ายน้ำเป็นแล้ว หากลูกไปโรงเรียนแล้ว ตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น อาจจะเสียความมั่นใจได้ค่ะ

ทักษะเหล่านี้ ฝึกวันละนิด ละหน่อย อย่าหักโหมนะคะ ทำจนลูกเข็ด จะยิ่งแย่ ตอนที่ดิฉันฝึกลูกนี่ วันนึง รวมๆแล้ว ไม่ถึงสองชม.ค่ะ ยกเว้น ว่ายน้ำ ก็สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ๆละ สองชม. วาดรูปนี่ก็วางไว้ในบ้าน ให้ลูกหยิบทำเอง ตามสบาย ไม่จัดตารางให้แน่น เค้าจะได้เป็นอิสระวันนึง ก็หลายชม.ค่ะ แล้วแต่เค้าจะเลือกเองว่าอยากทำอะไร ซึ่งเค้าอาจจะอยากวาดรูป หรือ ไปเที่ยว หรือ อยากปั้นแป้งโดว์ อ่านหนังสือที่ชอบ หรือ Search Google ก็แล้วแต่ค่ะ แต่ไม่ให้ดูทีวี หรือเล่นเกมค่ะ ไม่งั้นนี่ เวลาให้เลิกแล้ว เค้าจะหงุดหงิด เหมือนปิศาจเข้าสิง




ผจญภัยโรงเรียนประถมวันแรก จากโลกใบเล็ก ที่ได้รับการปกป้อง
สู่โลกใหม่ที่กว้างใหญ่ ฝึกเรียนรู้ที่จะเผชิญโลกกว้าง อย่างกล้าหาญ