วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (3)



Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 2)

หน้าที่ของพนง.ต้อนรับคือทำให้คุณประทับใจกับการบริการของสายการบิน ?

ทุกครั้งที่เราเดินเข้าไปในเครื่องบิน พนง.ต้อนรับจะยืนยิ้ม ยกมือไหว้และถามว่าคุณอยู่ที่นั่งเบอร์อะไรเพื่อชี้ทางให้คุณ ดูดีนะแต่ที่จริงแล้วนอกจากความพยายามที่จะต้อนรับคุณให้เกิดความประทับใจ งานที่ซ่อนไว้เบื้องหลังของพนง.เหล่านี้คือการดูว่าผู้โดยสารแต่ละคนมีลักษณะ ท่าทีอย่างไร คุณมีความพร้อมที่จะขึ้นเครื่องหรือไม่ คุณดูท่าทางเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่ หรือคุณดูเป็นนักกีฬาที่พอจะพึ่งพาได้ยามเกิดเหตุสุดวิสัยหรือไม่ พวกแอร์ทั้งหลายจะคอยดูลักษณะท่าทางของผู้โดยสารแต่ละคน ว่าใครจะเป็นผู้ที่ก่อปัญหาหรือใครจะเป็นผู้ที่พึ่งได้ยามคับขัน เพราะฉะนั้น งานหลักของพวกเธอเหล่านั้นไม่ใช่งานที่คอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม งานที่แท้จริงของพวกเธอก็คือการดูแลเรื่องความปลอดภัยของพวกเรานั่นเอง!

ปัญหาใหญ่สุดของความปลอดภัยในเครื่องบินคือผู้โดยสารที่ไม่เข้าใจถึงขั้นตอนการอพยพออกจากเครื่องในยามคับขัน หลายคนคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดเป็นชั่วโมงโดยไม่ต้องใส่หน้ากากหายใจเมื่อเครื่องมีปัญหาเรื่องอากาศและความดันภายในเครื่อง อันที่จริงแล้วเรามีเวลาแค่เสี้ยววินาที บางคนคิดว่า มีเวลาเกือบชั่วโมงในการหนีออกจากเครื่องที่เกิดอุบัติเหตุ อันที่จริงแล้ว เรามีเวลาแค่ 90 วินาทีเท่านั้น




90 วินาทีแห่งการเอาชีวิตรอด

สิ่งแรกที่เราจะสังเกตุได้คือมันง่ายมากที่เราจะหลงอยู่ภายในเครื่องเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เราจะไม่สามาถมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือจำได้ว่าเราเคยอยู่บริเวณไหนในตัวเครื่อง ควันไฟจะลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณจนเรามองไม่เห็นอะไรอยู่ตรงหน้า กฏแห่งการเอาชีวิตรอดในเครื่องบินที่ตกเริ่มจากความจริงที่ว่า เรามีเวลาเพียง 90 วินาทีในการออกจากเครื่องบินให้ได้ นานไปกว่านั้น ไฟอาจจะลามทั้งตัวเครื่องและอุณหภูมิจะสูงมากถึง 2000 องศา

หลักการอีกอันหนึ่งที่ควรจะต้องรู้คือ “ช่วงเวลาบวกสามลบแปด”

บวกสาม หมายถึง สามนาทีแรกเมื่อเครื่องเริ่มทะยานขึ้น และ ลบแปด หมายถึง แปดนาที ก่อนเครื่องจะลงจอดสนิท ในทางการบินถือว่าช่วง “บวกสามลบแปด” สิบเอ็ดนาทีนี้คือเป็นช่วงที่สำคัญและอันตรายที่สุดและ 80% ของการเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินมักจะเกิดในช่วงเวลาดังกล่าว นี่คือสาเหตุที่พนง.ต้องเข้มงวดให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัด (กันไม่ให้ผู้โดยสารกระเด็นจากที่นั่ง) เก็บโต๊ะหน้าที่นั่ง (หน้าจะได้ไม่กระแทกกับถาดที่เปิดอยู่ข้างหน้า) ไม่วางของบนพื้นกีดขวางทาง (เคลียร์ทุกอย่างเพื่อให้ทางโล่งจะได้เตรียมอพยพได้ง่าย) และปิดอุปกรณ์สื่อสาร (เพื่อให้กัปตันสามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ภาคสนามได้โดยไม่มีคลื่นรบกวน) นี่คือสาเหตุที่ว่า เราไม่ควรเมาก่อนขึ้นเครื่องหรือก่อนเครื่องร่อนลงแตะพื้น ไม่ควรหลับหรือใส่หูฟังโดยไม่สนใจอะไรเลยในขณะที่เครื่องกำลังขึ้นหรือลง ในช่วง 11 นาทีที่ว่า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องเตรียมพร้อมทุกวินาทีที่จะวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดโดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย

เมื่อเราก้าวขึ้นเครื่อง เราควรจะมีสติในการวางแผนในใจเพื่อเตรียมพร้อมในทุกสถานการณ์ อย่างแรกคือ จำว่าประตูทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงไหนแล้วนับว่ามันอยู่ห่างจากเก้าอี้ตัวที่เรานั่งกี่ตัว เพราะอย่างที่บอก เราจะมองไม่เห็นข้างหน้าเมื่อเกิดเหตุ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะไปถึงประตูทางออกที่ใกล้ที่สุดคือการใช้มือคลำและนับเก้าอี้ไปหาทางออก แต่การดูทางออกทางดียวอาจจะไม่พอ เราควรจะมองหาประตูที่สองไว้ด้วยเผื่อประตูแรกมีอุปสรรคทำให้เราไม่สามารถไปถึงได้

ถ้าคุณเดินทางไปกับญาติที่มีความสำคัญกับคุณ อย่าลืมพวกเขาด้วยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นแฟน ลูก พ่อแม่ ถ้าบินกับลูก ถือโอกาสอนพวกเด็กๆให้เข้าใจถึงแผนอพยพถ้าเกิดเหตุ ในบางครั้ง เราอาจจะไม่สามารถหาพวกเขาเจอตอนเครื่องเกิดอุบัติเหตุก็ได้

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (2)

Ninety Seconds to Save Your Life – The Wrong (and Right) Thing to do in a Plane Crash. (ตอนที่ 1)

เป็นชื่อการเอาชึวิตรอดในยามคับขันบทที่ 3 ว่าด้วยการเอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินที่นั่งอยู่เกิดอุบัติเหตุในหนังสือ The Survivals Club

ความเข้าใจผิดข้อที่ 1 – เมื่อเครื่องบินตก อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด

จริงหรือไม่ว่าเมื่อเครื่องบินตก ทุกคนในเครื่องจะต้องตาย หลายคนคิดอย่างนั้น เรามาดูจากสถิติกันว่าจริงหรือไม่

จากสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าโอกาสที่คนเราจะตามจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินอยู่ 1 ใน 60 ล้าน หรืออีกนัยหนึ่งคุณจะต้องบินทุกๆวันไปอีก 164,000 ปีกว่าคุณจะถูกฆ่าตายโดยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน และเชื่อหรือไม่ว่าโอกาสรอดของคนที่ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 95.7% และแม้ในกรณีของอุบัติเหตุที่ร้ายแรงมากๆหลายครั้ง อัตราการมีชีวิตรอดจะอยู่ที่ 76.6%

สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดเมื่อคนที่อยู่ในอุบัติเหตุทางเครื่องบินเชื่อว่าจะไม่มีสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็คือความสิ้นหวังเมื่อคนในเครื่องเชื่อว่าเราจะไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก่อนที่เครื่องจะขึ้นบิน ผู้โดยสารหลายๆคนดื่มจนเมา เมื่อขึ้นเครื่องก็จัดแจงถอดรองเท้า อ่านหนังสือ หรือเปิดเครื่อง iPad บางคนจัดการห่มผ้าเตรียมตัวหลับตานอนโดยไม่สนใจที่จะดูและสังเกตุตัวเครื่อง ไม่สนใจฟังพนง.ต้อนรับบรรยายหรือวีดีโอแนะนำ (ก็เหมือนกันทุกครั้งแหละจะฟังไปทำไม) ไม่อ่านเอกสารแนะนำที่เสียบไว้ตรงกระเป๋าหน้าที่นั่ง

จากสถิติอีกเช่นเคย ผู้โดยสารที่ตายในอุบัติเหตุทางเครื่องบินกว่า 40% ไม่ควรจะต้องตายถ้ารู้วิธีปฏิบัติที่ถูกวิธี และความเป็นจริงก็คือ เครื่องบินในปัจจุบัน (คงไม่ได้หมายถึงเครื่องบินจีนกับเครื่องรัสเซีย) ถูกสร้างมาอย่างดีและมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงมาก
ความเข้าใจผิดข้อที่ 2 – การตื่นตระหนกมักจะเกิดขึ้นในเครื่องเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินและเป็นสิ่งที่เลวร้ายในสถานการณ์เช่นนั้น

แน่นอน ความตื่นตระหนกลดทอนโอกาสของการมีชีวิตรอด คนเราเชื่อว่าหากเครื่องบินตก จะเกิดความโกลาหลและก่อให้เกิดความหายนะมากกว่าที่มันควรจะเป็น แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว แทบจะไม่เกิดความโกลาหลภายในเครื่องขึ้นเลยเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ผู้คนจะไม่ตื่นตระหนกและวิ่งพล่าน ในทางตรงกันข้าม แทบทุกคนจะอยู่นิ่งและรอฟังคำสั่งจากใครสักคน ในเครื่องที่ไฟกำลังไหม้ การวิ่งไปยังประตูทางออกเพื่อเอาชีวิตรอดกลับเป็นสิ่งที่ดีกว่าการอยู่นิ่งๆโดยไม่ทำอะไรเลยเพราะเรามีเวลาน้อยมากในการเอาตัวเองออกจากเครื่องที่กำลังไฟไหม้อยู่และเต็มไปด้วยควันไฟ

เอาชีวิตรอดเมื่อเครื่องบินตก (1)

ตอนนี้ข่าวดังเรื่องหนึ่งจากต่างประเทศคงไม่พ้นเรื่องของเครื่องบิน Asiana ตกที่ San Fran เลยทำให้ฉุกคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่พี่ที่นับถือคนหนึ่งเคยแนะนำให้อ่านเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราก็คุยเรื่องสับเพเหระไปเรื่อยๆถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและการเอาตัวรอดยามคับขัน พี่แกบอกว่า รู้ไม๊ว่า พนง.ต้อนรับบนเครื่องทำไมถึงต้องมายืนต้อนรับลูกเรือทุกคนตอนขึ้นเครื่อง นอกจากจะคอยอำนวยความสะดวก ยิ้มและไหว้ต้อนรับลูกค้า รู้ไหมว่างานที่แท้จริงของพวกเขาเมื่อผู้โดยสารทยอยเข้ามาในเครื่อง คือ คอยสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสารว่า มีคนไหนมีพฤติกรรมน่าสงสัยบ้าง จะได้คอยระวัง หรือจัดการกับผู้ต้องสงสัยก่อนที่จะสายเกินไปหรือผู้โดยสารคนไหนจะเป็นที่พึ่งได้บ้างเมื่อเกิดเหตุคับขัน ฟังแล้วอึ้งไปเหมือนกัน ที่คิดว่าแต่ละสายการบินคอยจัดให้มี พนง.คอยยิ้มเพื่อเรียกเรตติ้งให้สายการบิน จริงๆแล้ว ภารกิจที่สำคัญกว่านั้นคือการรักษาความปลอดภัยก่อนเครื่องออกบิน

ที่เขาเล่ามาทั้งหมดเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหลังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดยามคับขัน เลยคิดว่า หนังสือเล่มนี้ต้องน่าสนใจมาก คืนนั้นอยากอ่านมาก ไม่อยากรอไปดูที่ Asiabook ตอนเช้าเลยรีบจัดการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้จาก Kindle ซึ่งเป็นหนังสือ eBook เล่มแรกที่ลงทุนซื้อจาก Kindle จากอีกหลายๆเล่มเลยทีเดียว

หนังสือเล่มนี้มีหน้าปกดังรูป ซึ่งปรากฏว่าเป็น New York Time Best Seller ด้วย เดี๋ยวจะมาสาธยายและเล่าถึงบทที่เกี่ยวข้องกับการเอาชีวิตรอดถ้าอยู่ในเครื่องบินที่กำลังจะตก ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่เดี๋ยวนี้ “ใครๆก็บินได้” รู้ไว้ประดับความรู้น่าจะดี และมีหลายเรื่องน่าสนใจมาก ใครอยากจะรู้ก็ตามมาอ่านในตอนต่อไปได้




The Survivals Club – The Secrets and Science that Could Save Your Life

ก่อนอื่นมารู้จักกับหนังสือเล่มนี้กันก่อนดีกว่า

หนังสือเล่มนี้รวบรวมและเรียบเรียงโดย Ben Sherwood ประธานบริษัท ABC News และผู้ก่อตั้ง The Survivors Club Interactive, Inc. ในปี 2009 (http://www.thesurvivorsclub.org/)

ในเล่มนี้มีทั้งหมด 15 บท ที่เกี่ยวกับ case study ของคนที่รอดจากนาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจากอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งในแต่ละเรื่องจะสอดแทรกการอ้างอิงบทวิจัยและสถิติในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เรียกได้ว่า ไม่ได้มั่วข้อมูลหรือนั่งเทียนเอา ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากเช่นเดียวกับหนังสือฝรั่งอีกหลายๆเล่ม อยากให้หนังสือไทยมีมาตรฐานแบบนี้เยอะๆจัง แต่อย่างว่านะ เขียนหนังสือไทย ขายได้แต่ในเมืองไทยนอกจากจะได้ไม่กี่เล่มแล้ว คนที่ได้เนื้อๆก็เป็นสำนักพิมพ์กับคนขายซะหมด คนเขียนได้ไม่เท่าไหร่ คงไม่มีทุนไปทำการค้นคว้าหรือได้ข้อมูลที่ดีมา นอกจากว่าจะแปลและขายได้ในระดับโลก

หนังสือเล่มนี้ พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและวิธีเอาชีวิตรอดจากหลายๆเหตุการณ์ เช่น โดนเข็มถักนิตติ้งแทงเข้าทะลุหัวใจ เอาชีวิตรอดในท้องทะเลที่หนาวเย็นเมื่อเรืออับปาง เมื่อเครื่องบินตก เมื่อโดนสิงโตขย้ำ และอื่นๆอีกหลายสถานการณ์ ซึ่งแต่ละเรื่องเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราก็ได้ หนังสือเล่มนี้ค่อนช้างหนา สารภาพว่ายังอ่านไม่หมดแต่ก็ได้อ่านเรื่องที่สนใจอยู่ 4-5 เรื่อง สำหรับครั้งนี้ขอเล่าเรื่องเอาชืวิตรอดเมื่อเครื่องบินตกละกัน ถ้าสนใจก็คอยติดตามต่อไป

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รักอย่างไร...ให้พอดี



ชีวิตคู่นั้น เปรียบเหมือนปลูกต้นไม้สองต้น หากปลูกใกล้กันเกินไป รากของต้นไม้สองต้นนั้น ก็จะมีโอกาสพันกัน หรือแย่งอาหารกัน ทำให้ทั้งสองต้น ไม่เติบโตเท่าที่ควรเป็น ไม่แข็งแรง เหมือนชีวิตครอบครัว ที่สามีภรรยา ต่างติดหนึบ เป็นเจ้าเข้าเจ้าของกัน ตามหึง ตามหวง และตามจิก ก็จะทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่เติบโต ไม่มีเวลาไปพัฒนาตนเอง ไม่มีเวลาในการเดินทางตามความฝันของตน

แต่หากต้นไม้สองต้นนั้น ต้นนึงไม่สามารถยืนหยัดด้วยตนเอง ต้องเป็นกาฝาก เกาะอีกต้นหนึ่งไป เพื่อให้อยู่รอด ไม่ช้าไม่นาน ต้นใหญ่ก็จะถูกแย่งน้ำแย่งอาหารไปจนเหี่ยวตาย ล้มท้ังยืนเช่นกัน เหมือนสามีภรรยา ที่ฝ่ายหนึ่งรับหน้าที่ ทำงานหนักอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายนึงมีแต่มาตักตวงเรียกร้อง อย่างเห็นแก่ตัว บางครอบครัวหนำซ้ำ ยังพาเพื่อนฝูง หนี้สิน ญาติพี่น้อง มาสูบเลือดอีกฝ่ายนึงแต่ประการเดียว ครอบครัวก็จะอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน

หรือต้นไม้สองต้น ต้นไม้ต้นนึง เป็นต้นใหญ่ กิ่งใหญ่ใบหน้า แผ่ปกคลุมบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้อีกต้นนึง ไม่ได้รับแสงสว่าง ไม่ช้า ต้นที่ถูกบดบังแสงแดด ก็อาจจะเหี่ยงแห้งตายเช่นกัน เพราะถูกปกป้องบดบังความร้อน จนเกินพอดี

หรืออาจจะเป็นต้นไม้ใหญ่สองต้น ที่ปลูกห่างกันมาก จนแทบจะคนละพื้นที่ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างโตในอาณาจักรของตัวเอง ไท้ได้พึ่งพาอาศัยกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป อยู่ไกลเกินกว่าจะเชื่อมโยง ช่วยเหลือ พึ่งพิงกันได้

การเลือกคู่ชีวิตนั้น จึงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องมีมากกว่า คำว่า "รัก" คือ ต้องดูให้ครบถ้วน ก่อนที่จะร่วมหัวจมท้าย เลือกใครสักคน จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน กล่าวคือ ต้องมี

๑ สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกันหนักแน่เสมอกันปรับตัวเข้าหากันลงได้

๒ สมสีลา มีศีลเสมอกัน คือความประพฤติจรรยา มารยาท พื้นฐานการสอดคล้องกันไปได้

๓ สมจาคา มีจาคเสมอกัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีใจกว้างพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

๔ สมปัญญา ปัญญาสมกัน รู้เหตุรู้ผลเข้าใจกันอย่างน้อยพูดกันรู้เรื่อง

หากไม่สมบูรณ์ตามนี้ ครอบครัวก็ย่อมมีปัญหาค่ะ ไม่มากก็น้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตราบใดที่เรายอมรับในความแตกต่าง และพยายามปรับตัวเข้าหากัน




ไหนๆก็เล่าเรื่องชีวิตคู่แล้ว ดิฉันอยากแบ่งปัน เรื่องการ "หาคู่" ไว้ด้วย เผื่อผปค.ที่มีลูกสาว จะได้ลองใช้เทคนิคนี้ดู เพื่อการมีชีวิตครอบครัวที่ดีงามของลูกๆ

ตอนดิฉันเป็นวัยรุ่น คุณตาของดิฉัน และอจ.สอนภาษาจีนท่านนึง ที่เป็นผู้ชาย ท่านสอนวิธีเลือกสามีไว้ค่ะ ท่านบอกว่า ให้เลือกผู้ชายที่รักตัวเอง รักอย่างไร... คือ ไม่ทำอะไรที่ทำอันตรายกับสุขภาพตัวเอง และไม่มีพฤติกรรม ทำลายอนาคตของตัวเอง คือ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ออกกำลังกาย ไม่เล่นการพนัน นี่เป็นประการที่หนึ่ง หากเจอใครที่ ไม่รักตัวเอง ก็ขอให้หลีกเลี่ยงไป เค้าไม่รักตัวเอง ก็ยากที่จะรักคนอื่น

เมื่อเจอคนที่รักตัวเอง ไม่ทำลายตัวเอง ท่านก็แนะนำว่าให้ดูเรื่องที่สอง คือ ต้องเป็นคนกตัญญู รักพ่อแม่ และ รู้บุญคุณคน คนที่รักครอบครัว รักพ่อแม่ เมื่อเค้ามีครอบครัวตัวเอง เค้าย่อมรักครอบครัวตัวเองด้วย

ประการที่สามที่ต้องดู คือเป็นคนที่รักงานของตัวเอง ไปทำงานทุกวัน ขยันทุ่มเท และมีความเจริญก้าวหน้าในงาน หากเจอคนบ่นงาน บ่นลูกน้อง บ่นลูกค้า อันนี้คงไม่ใช่คนรักงาน ให้หลีกเลี่ยง เพราะคนแบบนี้ไม่เจริญก้าวหน้า

ประการที่สี่ คือ เป็นคนที่มีเมตตา มีน้ำใจ อย่างมีสติ พร่ำเพรื่อไปก็ไม่ดี ใครขอก็ให้หมด ก็ทำให้ครอบครัวมีปัญหาได้ แต่ หากแล้งน้ำใจขี้งก ก็ลำบากค่ะ ต้องหาแบบพอดีพอดี ต้องเทสต์ดูว่า แบบไหนจะเหมาะกับเรา

และที่สำคัญคือ ต้องเป็นคนดีค่ะ รักษาคำพูด และไม่ทำผิดศีล5 คนที่รักษาคำพูด รักษาสัจจะวาจา ย่อมเป็นเกราะคุ้มกันเขาจากสิ่งที่ไม่ดี และบุญกุศลของเขา ย่อมแผ่ไปถึงลูกหลานค่ะ

ดิฉันจำได้คุณตาคุยเรื่องนี้ ตอนที่ดิฉันอยู่ม.4 ก่อนที่ท่านจะเสียไม่นาน อจ.ที่สอนภาษาจีน คุยเรื่องนี้ ก่อนที่ดิฉันจะไปเรียนต่างประเทศ สิ่งที่ท่านทั้งสอนเรา เป็นเรื่องที่ดิฉันใช้ในการ เลือก "ผู้ชาย" ที่จะมาเป็นคู่ สังเกตเหมือนกัน เวลาเจอคนคุณสมบัติไม่ครบนี่ คบกันไม่ได้นานหรอกค่ะ มันไม่มีความสุขจริงๆ แต่ในวันที่เจอคนที่ "ใช่" นี่ ชีวิตจะราบรื่น การงานก็รุ่งเรือง เพราะเราไม่ต้องเครียดกับเรื่องครอบครัวที่มีปัญหาโน่นๆนี่ๆ ไม่หยุดหย่อน ลองดูนะคะ ไว้สอนลูกดู เมือ่ถึงเวลาอันควร

เลี้ยงลูกให้รักกัน













มีเพื่อนๆผปค.หลายๆท่าน ที่มีลูกหลายๆคน มาหารือ เกี่ยวกับ การเลี้ยงลูกอย่างไรให้พี่น้องรักกัน ช่วยเหลือกัน ดิฉันก็อยากถือโอกาสนี้ แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ การที่พี่น้องรักกันหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพร่ำสอนของพ่อแม่ แต่ขึ้นอยู่กับการวางตัว ของคนที่เป็นพ่อแม่ค่ะ ให้ลูกๆ สัมผัสรู้สึกได้ว่า พ่อแม่รักลูกๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เราไม่จำเป็นต้องแสดงความรัก หรือปฎิบัติกับลูกทุกๆคนเหมือนๆกัน ประเภทซื้ออันนี้ให้คนนี้ อีกคนต้องได้ด้วย อันนี้ไม่จำเป็นเลยค่ะ หรือกอดคนนี้เสร็จ ก็กอดคนนั้น อันนี้ก็ไม่ต้อง แต่ขอให้ปฎิบัติกับลูกๆด้วยความรักในแบบที่เค้าสัมผัสได้ว่า พ่อแม่รักเค้าที่สุด

เด็กๆแต่ละคน มีนิสัยไม่เหมือนกัน มีความถนัด ความชอบไม่ชอบต่างกัน เราต้องปฎิบัติกับลูก ในแบบที่เค้าเป็น ต้องไม่นำไปเปรียบเทียบกัน ไม่ต้องให้ลูกคนนี้ เหมือนลูกคนนั้น เจียระไนเค้า ในแบบที่เป็นตัวเค้าค่ะ และต้องชื่นชมลูกๆ ให้กันฟัง ว่า ลูกมีจุดเด่นอย่างไร จุดด้อยตรงไหนที่ต้องแก้ไข ในขณะที่พี่หรือน้องคนอื่นๆ มีจุดดีอย่างไร จุดด้อยอย่างไร ที่เราต้องช่วยเหลือ เข้าใจเค้า ทำแบบนี้ลูกๆจะเห็นความแตกต่างของกันและกัน ภาคภูมิใจในตนเอง ในขณะที่ภาคภูมิใจ ให้เกียรติพี่น้องคนอื่นด้วย และรู้ว่าจะช่วยพี่หรือน้อง เพื่อป้องกันจุดอ่อนของกันและกันอย่างไร

ปัญหาของหลายๆครอบครัว มาจากการเปรียบเทียบ พ่อแม่มักชมอีกคนนึงให้อีกคนนึงฟัง เพื่อหวังให้ลูกเปลี่ยน แต่เด็กที่ไม่ได้รับการชื่นชม ก็มีปมด้อย การที่เราชัดเจน ในมุมมองของเรา และทำให้ลูกชัดเจน เห็นตัวเอง และเชื่อมั่นในความดี หรือจุดเด่น ก็ช่วยให้จิตใจของเค้ามั่นคง ไม่ริษยาคนอื่น ในขณะเดียวกัน เค้าจะพร้อมที่จะเห็นใจคนอื่น และพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นด้วย

อีกสิ่งนึงที่ควรทำ คือ การชื่นชม ให้กำลังใจลูกในยามที่เค้าช่วยพี่ หรือช่วยน้อง ดิฉันมักจะเล่า "Behind the scene" ให้ลูกฟัง ว่า กว่าที่พี่ หรือน้อง จะทำอันนี้ เพื่อช่วย พี่น้อง เค้าคิดอย่างไร เค้าพยายามเพียงใด ห่วงใยเพียงใด จนทำสิ่งนี้เพื่อน้องหรือพี่ได้ ทำให้อีกฝ่ายได้มองเห็นความรัก ความพยายามของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้สิ่งที่ทำนั้นดูน้อยนิด และไม่มีค่า แต่กว่าการกระทำนี้จะออกมา มันจะต้องผ่านขั้นตอนแห่งความรักอย่างไร พี่น้องเค้าก็จะซาบซึ้ง และยินดีกับความรัก ความเข้าใจทีอีกฝ่ายนึงมอบให้

ความรักในครอบครัวนั้น จะยั่งยืนได้ไม่มีวันหมด เมื่อหมั่นเติมความรักให้กันทุกวัน เรื่องเล็กๆน้อยไม่ควรมองข้าม ไม่เห็นค่า แต่ในยามที่เค้าทะเลาะกัน หรือ เล่นกันกระทบกระทั่งกัน เราต้องทำให้เค้าไม่คาใจต่อกัน มองข้ามความผิดพลาด พลั้งเผลอของกันและกันไปให้ได้ การตัดสิน "คดี" ต้องเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม มีการสอบสวนกันละเอียดทีละขั้นตอน และชี้ให้เห็นว่า ที่มาที่ไป ของปัญหา มาจากอะไร ซึ่งก็จะผิดกันคนละนิดละหน่อย มาแน่นอน เมื่อเราตัดสินอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและชัดเจน เค้าก็จะยอมรับค่ะ ไม่คาใจ เพราะเห็นความผิดของตัวเองด้วย

ขอยืนยันว่า การทำให้ลูกรักกันนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เค้าเหมือนๆกันหรือเท่ากัน แต่ให้เค้าในสิ่งที่เค้าชอบ หรือเค้าเป็น และหลายๆครั้งก็ให้เค้าตกลงกัน ต่อรองกัน ว่าใครจะทำอะไร ผลัดกันสมหวัง หรือยอมกันบ้าง ให้อภัยกัน และเข้าใจ เห็นใจกัน และทำเพื่อกันและกัน หากพ่อแม่ทำได้แบบนี้ พี่น้องก็จะไม่มีปัญหากันค่ะ

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผมทำได้....ช่วยสร้าง Self Esteem ลูกให้แข็งแรง



สมัยก่อนตอนที่ยังไม่มี FB เคยอ่านกระทู้ของพ่อแม่หลายๆคน อยากให้ลูกเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ มาถามคำถามเกี่ยวกับการขอเข้าสอบก่อนเกณท์ที่รร.ดังๆกำหนดไว้ ก็รู้สึกเหมือนกันว่า จะเร่งกันไปทำไม มาถึงตอนนี้ จึงมีความเข้าใจมากขึ้นว่า การที่โรงเรียนกำหนดเกณฑ์ไว้นั้น มันมีความสำคัญ ที่ผปค.ไม่ควรละเลย มันไม่เกี่ยวกับว่า เรียนเร็วหรือช้าไปหนึ่งปี คนอื่นเสียโอกาส แต่เป็นเรื่องของความพร้อมของเด็ก ในหลายๆด้าน นอกเหนือจากศักยภาพในการเรียน ซึ่งทักษะหลายๆอย่างของคนเรา มันอาจจะไม่ได้มาจากการฝึกฝนเท่านั้น แต่ต้องในวัยที่เหมาะสม คือ วัยที่กำลังพัฒนาทักษะนั้นได้

เด็กเล็กๆ ถึงเด็กประถมต้นนั้น แม้อายุห่างกันไม่กี่เดือน แต่จะมีพัฒนาการที่ต่างกันมาก โดยเฉพาะในเรื่องการฟัง การควบคุมอารมณ์ และความสามารถคล่องแคล่วในบางเรื่อง รวมทั้งน้ำหนักและส่วนสูง เด็กที่เรียนก่อนเกณฑ์ จะตัวเล็ก หรือดูเล็ก มันก็เป็นส่วนนึง ที่ทำให้เด็กดูด้อย อ่อนแอ และอาจจะถูกแกล้งได้ง่าย พอเจอเพื่อนตัวใหญ่ ตัวสูงก็อาจจะกลัวและทำให้ถูกเพื่อนข่ม บุคลิกภาพ อาจจะมีปัญหา ไม่เป็นผู้นำ เพราะรูปร่างเสียเปรียบ

เด็กที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด บางทีมีปัญหาในเรื่องการฟังคำสั่ง ทักษะการฟังยังพัฒนา ไม่ถึง ไม่เข้าใจคำสั่ง หรือ เหตุผลหรือ การเรียนการสอน ที่จะเป็นแบบเด็กประถม ซึ่งจะแตกต่างกับการเรียนในชั้นอนุบาล ทำให้การเรียนก็อาจจะช้า หรือด้อยกว่าเพื่อนๆ หรือบางครั้งหลายๆครั้งอาจจะฟังรู้เรื่อง แต่ทำไม่ได้ เพราะ ยังทำใจให้ยอมรับเหตุผลไม่ได้ ทำให้อาจจะดูด้อยกว่าเพื่อน ถูกครูตำนิ หรือเด็กอาจจะเปรียบเทียบตัวเองว่าไม่เก่งเท่าเพื่อน

การตีความลักษณะนี้ของเด็ก ว่า ตัวเองเก่งสู้เพื่อนไม่ได้ หรือ เสียเปรียบเพื่อน ทำให้เด็กมีทัศนคติ เกี่ยวกับตัวเอง ว่าเราด้อย ซึ่งทัศนคติเชิงลบ แบบนี้จะส่งผลต่อบุคลิกภาพ ให้กลายเป็นคนขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่เป็นผู้นำ ซึ่งแม้ว่า โตแล้ว พัฒนาทักษะอะไรได้ตามเพื่อน ไม่ต่างกัน แต่ทัศนคติที่มีกับตัวเองแบบนี้จะติดตัวไปค่ะ ทำให้กลายเป็นคนที่ไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ และไม่พอใจในตัวเอง Self Esteem ต่ำค่ะ

อีกเรื่องที่อยากจะเล่า คือ ในทางกลับกัน มีผปค.อีกกลุ่มนึง ก็เป็นแบบที่กลัวลูกลำบาก ถึงเวลา ถึงวัยที่เหมาะสม ก็ไม่อยากจะพยายามฝึกลูกให้ทำได้ตามมาตรฐาน กลัวลูกเหนื่อย กลัวลูกลำบาก กลัวลูกเครียด ถึงวัยที่ควรจะอ่านออก เขียนได้ อ่านเก่ง เขียนเก่ง หรือ ต้องฝึกว่ายน้ำ ต้องมีวินัยในการทำการบ้าน ก็ไม่อยากจะฝึก กลัวลูกไม่รัก กลัวลูกไม่มีความสุข กะว่า มาโรงเรียนแค่ไหนแค่นั้น แม่เป็นเร่ง ไม่ต้องแข่งกะใคร ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ทำลาย Self Esteem ของลูกเช่นกัน

มีผปค.ที่ลูกเรียนในโรงเรียนแนววิชาการหลายคน บ่นกันยกใหญ่ จดการบ้านไม่ทัน การบ้านเยอะ สอบบ่อย สอบยาก Project เยอะ สุดท้ายลงเอย ด้วยการช่วยลูก ทำการบ้านแทนลูก แล้วก็มาบ่นว่า เป็นการบ้านพ่อแม่ ประเด็นคือ การบ้านเหล่านี้ มันคือ การบ้าน ที่พ่อแม่ควรเข้ามาชี้แนะ "ไม่ใช่ทำให้ลูก" พ่อแม่ไฮเทคที่รักลูก ก็เอาการบ้านมาแชร์กัน ลอกกัน ลูกจดการบ้านไม่ทันไม่เป็นไร เดี่ยวแม่ถามเพื่อน สุดท้ายลูกถึงเวลา ต้องฝึกอะไร ไม่ต้องฝึกสักอย่าง เพราะพ่อแม่คิดว่า มันไม่จำเป็น ทำแทนลูกไปเลย จะได้ไม่เสียเวลาเรียนพิเศษ


สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กกลุ่มนี้ ในโรงเรียน คือ เมื่อมาโรงเรียน เด็กก็ขาดความมั่นใจในการเรียน เพราะพ่อแม่ทำการบ้านให้หมด เวลาเขียน เวลาเรียนในห้อง ก็รู้สึกเสียความมั่นใจ ยิ่งเห็นเพื่อน เขียนเก่ง เขียนเร็วทำได้ดีกว่า เค้าก็ยิ่งท้อ รู้สึกว่าเพื่อนเก่งจัง ตัวเองเก่งสู้เพื่อนไม่ได้ เพราะตัวเองไม่เคยฝึก อยู่บ้านพ่อแม่ไม่สอน แต่ช่วยแก้ปัญหาทำแทนทุกอย่าง จนลูกไม่ได้คิด ถึงเวลาเรียนว่ายน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น ก็ไปอยู่กลุ่มเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ในขณะที่เพื่อนบางคน ไปอยู่กลุ่มว่ายน้ำเก่ง ว่ายน้ำปร๋อ หรือ พอไปเรียน เพื่อนคนอื่นครูถามอะไร ตอบได้หมด ภาษาแจ๋ว แต่ตัวเอง ฟังไม่รู้เรื่อง พูดไม่ออก อ่านไม่รู้เรื่อง นี่สร้างปมด้อยให้เด็กมากเลยนะคะ

ดังนั้น พ่อแม่เองก็ควรจะแยกแยะ การงานที่ครูมอบหมายให้ทำ คือ สิ่งที่เป็นมาตรฐานของโรงเรียน ที่เหมาะกับอายุ และชั้นปีของเด็กๆ และยิ่งโต สิ่งที่เด็กต้องฝึกก็ยิ่งมาก ไม่มีลดราคาแน่นอน ดังนั้น แม้จะยากลำบากเพียงใด ต้องให้กำลังใจ และสละเวลา ฝึกฝนลูกทีละน้อย เค้าอาจจะทำช้า ไม่คล่องแคล่ว ก็อย่ากังวล เพราะหากไม่พยายามให้กำลังใจให้ลูกฝึก เค้าก็จะต่อยอดยาก ถึงเวลาเรียนชั้นสูงๆขึ้นไป ไม่เคยแบกภาระ จะเทภาระการเรียนหนักๆเค้าก็รับไม่ไหว และยิ่งท้อ พื้นฐานไม่แน่น ก็ต่อยอดยาก

อย่างที่บอก การสูญเสีย Self Esteem นี่ มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกค่ะ ว่า เค้ามองตัวเองอย่างไร หากเค้าเชื่อว่า เค้าไม่เอาไหน สู้เพื่อนไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่เก่ง ไอ้นั่นก็ไม่ถนัด เค้าจะไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเองค่ะ ทำให้เค้าดูตัวเอง เป็นคน "ตัวเล็ก" ไม่มีคุณค่า ไร้ความสามารถ ซึ่งมันจะมีผลต่อบุคลิกภาพ และความกระตือรือร้นของเค้าเช่นกัน

เมื่อคืนน้องแชง ได้ลงมือทำโปรเจค Science ซึ่งเป็นงานโปรเจคชิ้นแรกของชีวิตการศึกษาก็ว่าได้ กำหนดส่งวันพฤหัสโน้น ดูจากเนื้องาน เป็นงานที่ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยทักษะหลายๆอย่างของเด็ก เช่น การทำ Research หารูป ตัดแปะ ตกแต่ง ซึ่งน่าจะทำได้ภายในสองชม. แต่น้องแชงนั่งทำ 5 ชม.ก็ไม่เสร็จ และคงต่อไปอีกหลายชม.

ปัญหามันไม่ใช่งานยากหรือไม่ แต่เค้ามีจินตนาการค่ะ เค้ามีความสุขมากกับมัน ค่อยคิดวางแผน เค้าค่อยๆศึกษา ค้นคว้า จนตกผลึกว่า เค้าอยากทำในหัวข้อนี้ อยากให้มันมีรูป มีเรื่องราวแบบนี้ อยากให้มีส่วนประกอบแบบนั้นแบบนี้ เราปล่อยให้เค้าคิด และทำไปเรื่อยๆ ตามจินตนาการของเค้า ดิฉันว่า มันเป็นการฝึกการใช้จินตนาการความคิด ฝึกสมาธิได้ดีมากๆ และเค้าก็ภาคภูมิใจกับมัน ในความคิดของเค้า เค้าพอใจกับงานของเค้าค่ะ มันเป็นการสร้าง Self Esteem ของเค้าได้ดีที่สุด เพราะ Self Esteem ที่แท้จริง ไม่ได้มาจากที่ว่า ใครๆยกย่องชื่นชมตัวเรา แต่มาจากการที่ตัวเราภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองต่างหาก

ในการทำงานของเด็ก เค้าอาจจะไม่คล่องแคล่ว ทำออกมาไม่เนี๊ยบ ไม่สวยงาม เท่ากับเราทำให้เอง คะแนนอาจจะออกมาไม่ดี เพราะงานไม่เนี๊ยบ เท่ากับงานที่พ่อแม่ทำให้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ เท่ากับว่า มันเป็นงานที่เค้าได้ฝึกฝน ลงมืทำด้วยตัวเอง ดิฉันเชื่อว่า ต่อไป ลูกจะต้องมี โปรเจคมากขึ้น ในหลายๆวิชาตามวัย ตามชั้นปี หากเราลงมือทำให้ลูกแล้ว เราคงต้องทำให้ลูกตลอดไป เพราะเค้าไม่มีโอกาสฝึกฝน ดังนั้น ให้ลูกเผชิญหน้ากับงานของเค้าเองตั้งแต่ตอนนี้ ดีที่สุด

ดิฉันเองก็เข้าใจ ผปค.และเด็กๆหลายครอบครัว ที่ผปค.ต้องช่วยลูกทำงาน ทำการบ้าน เพราะเวลาไม่พอ พาลูกไปเรียนพิเศษนี่ๆนั่นๆ เวลาก็ไม่พอเหลือให้ลูกได้เรียนรู้เอง ทำการบ้าน หลายๆครอบครัวบ้านอยู่ไกลโรงเรียน เสียเวลาในการเดินทางวันนึงเป็นชม. หลายชม. หลายๆบ้านติดทีวี ติดเกม หลายๆบ้าน พ่อแม่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาดูแลลูก ให้พี่เลี้ยง ให้ญาติผู้ใหญ่ช่วยดูแล หลายๆเหตุผลเหล่านี้ ทำให้เด็กๆ ไม่เหลือเวลาในการฝึกฝน ลองผิดลองถูก ทำการบ้าน ทำงานด้วยตัวเอง มีเวลาเหลือให้ทำงานส่งครู แค่ไม่กี่ชม. เด็กไม่ทันมีเวลาคิด ไม่มีเวลาตกผลึก ไม่ทันได้ฝึกฝนอะไร ตาม Requirement ของวิชาเลย ทำให้เด็กเสียโอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างน่าเสียดาย


วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สอนลูกเรื่อง เวลา (1)


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้สังเกตว่า คนสมัยนี้ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเวลา  เวลานัดหมายกัน ก็ไม่ค่อยตรงต่อเวลา  ไม่เคารพเวลาของตัวเอง  รับปาก ตั้งใจว่า จะทำอะไร กลับไม่ได้ ทำ  และไม่เคารพเวลา คนอื่นด้วย    พอมาดูรายละเอียดการใช้เวลาของคนจริงๆ กลับพบว่า คนเราส่วนมาก ใช้เวลาที่ไม่คุ้มค่า ใช้เวลาไปกับการเดินทาง รถติดขัดเช้าเย็นวันละหลายๆชม. หรือ ดูทีวี  หรือ การเที่ยวเตร่นั่งดื่มกินในยามค่ำคืน  วันนึงๆ  หมดเวลาไปมากกว่า 30-40%  กับสิ่งไร้สาระ และไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับชีวิต  นอกจากความสนุกสนาน และบันเทิง

ดิฉันเคยคำนวณให้ลูกดูว่า คนเรามีเวลา ที่ไม่พักผ่อนนอนหลับ วันละ 16 ชม. เวลาสอง ชม.นี่ เท่ากับ 10% หากเราเอาเวลาที่คนไปเสียเวลาพวกนี้ มาเรียนอะไรสนุกๆ หรือดูรายการที่มีประโยชน์ เราก็มีความสามารถมากกว่าคนอื่นๆ มีความรู้มากกว่าคนอื่นปีละ 10% ปีนึง 600 ชม. เป็นอย่างน้อย นี่มันไม่น้อยนะคะ ยิ่งหากเราใช้เวลาในวันหยุดอย่างมีค่า ลูกจะเรียนรู้มากกว่าคนอื่น ปีนึง เป็นพันชม. หากคำนวณแบบนี้ แล้วจะเสียดายเวลา ที่เอาไปดูอะไรที่ไม่มีสาระ   และดิฉันเองก็เคยเขียนเรื่องนี้ ในหนังสือ "สอนลูกให้ชนะโลก"  เกี่ยวกับการหาที่อยู่อาศัย ที่ใกล้ที่ทำงาน ใกล้โรงเรียน  นอกจากจะประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังประหยัดเวลาเดินทางไปได้อีกมาก  ซึ่งเวลาที่ประหยัดได้นี่ บางครั้งคิดเป็น 10-20% ของเวลาที่เรามีในแต่ละวัน   วันๆเรา ประหยัดเวลา ในแง่นั้น แง่นี้ มีเวลาที่มึคุณภาพ มากกว่าคนอื่น วันหนึ่ง 3-4 ชม.  ไม่ใช่น้อยนะคะ หากสามารถเปลี่ยนเป็นศักยภาพ และรายได้ได้นี่  เรียกว่า มากกว่าคนอื่น 20-30% ทีเดียว ยิ่งใช้เวลาเป็น ยิ่งมีโอกาสมากกว่านี้อีกหลายเท่า   ดังนั้น เคล็ดลับความสำเร็จ ของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือ การใช้เวลาอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับเขา ในการบรรลุเป้าหมายในชีวิต !!

ในหนังสือพ่อรวยสอนลูกให้ลงทุน มีตอนนึงกล่าวเรื่องเวลาไว้น่าสนใจดี ทำให้ระลึกถึงคุณค่าของเวลาได้


"คนส่วนใหญ่จะวัดราคากันที่จำนวนเงิน แต่ถ้าเธอมองให้ลึกอีกหน่อย เธอจะเห็นได้ว่า ราคานั้น วัดกันด้วยจำนวนเงินไม่ได้ แต่ต้องวัดกันด้วย "เวลา"  และระหว่างเงิน กับ เวลา  แท้จริงแล้ว เวลาเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่า  คนส่วนใหญ่ต้องการรวย แต่กลับไม่สนใจที่จะลงทุนใน "เวลา" เป็นอันดับแรก  พวกเขาจะทำตามตำแนะนำเด็ดๆ หรือเริ่มทำธุรกิจเองอย่างรีบร้อน และลงมือทำโดยไม่มีทักษะพื้นฐานทางธุรกิจเลย  นี่เป็นเหตุให้ ธุรกิจขนาดเล็ก 95% ต้องปิดตัวลงภายในช่วงเวลา 5-10 ปีแรก"

- พ่อรวยสอนลูกให้ลงทุน-

จะเห็นได้ว่า เวลาเป็นสิ่งที่พระเจ้า ให้คนเราอย่างยุติธรรมที่สุด คือ ทุกคน มีเวลาที่เท่ากัน คือ วันละ 24 ชม.  ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้เวลา 24 ชม.นี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  สร้างมูลค่า  สร้างผลประโยชน์อะไรกับเราได้บ้าง

ดิฉันเองได้มีโอกาส อ่านหนังสือการ์ตูนเด็กเรื่อง 50 วิธีบริหารเวลาดี เราทำได้  ซึ่งเขียนโดย Ja, Woon-Young  แปลโดย พิริยาพร ค้าเจริญดี   ก็รู้สึกเข้าท่าดีค่ะ  ซื้อมาให้ลูกอ่าน มีการ์ตูนสั้นๆประกอบด้วย  แต่คิดว่า หากเด็กอ่านรวดเดียวจบ คงไม่ค่อยได้อะไร  เพราะข้อมูลค่อนข้างมาก และเนื้อหาที่สั้นไป ไม่ละเอียด ทำให้เด็กอาจจะไม่เข้าใจ หรือไม่ซึมซับ  แต่หากเราให้ลูกอ่านทีละตอน แล้วมาพูดคุย  Discuss กัน ก็น่าจะได้ประโยชน์กว่า  เพราะการฝึกเด็กให้รู้จักคุณค่าของเวลานั้น และสามารถใช้เวลาได้ดี มันต้องอาศัยเวลาในการฝึกอย่างสม่ำเสมอ เช่นกัน

เทคนิค การบริหารเวลาที่คนเกาหลีใช้สอนเด็กนั้น มีหลายๆอย่าง ดิฉันเองก็ใช้มาตั้งแต่เด็กๆ หรือ ในวัยทำงาน  ด้วยความที่ดิฉันมีพื้นเพทำงานด้านอุตสาหกรรม  เวลาทุกวินาที จึงเป็นเงินเป็นทอง   การทำงานไม่ทัน ทำงานผิดพลาด หรือ อู้งาน เล็กๆน้อยๆ เสียเวลาในขั้นตอนการทำงาน หมายถึงกำไรขาดทุนของบริษัท และชีวิตของคนหลายร้อย หรือเป็นพันคนได้  ดังนั้น ดิฉันจึงติดนิสัยในการทำงานให้ประหยัดเวลา ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด

มีหลายๆตอนใน 50 วิธีนี้ที่เราน่าจะเริ่มสอนลูกได้ หรือนำมาใช้ในการพัฒนาการทำงานของเราค่ะ  เช่น  การเริ่มต้นวันด้วยการวางแผน  การทำตารางเวลา การทำการบ้านให้เสร็จก่อน การอ่านหนังสือล่วงหน้า  การดูทีวีเล่นเนต อย่างพอดี การจดบันทึก  กำหนดเป้าหมายในการทำสิ่งต่างๆ  รู้จักปฎิเสธในสิ่งที่ควรปฎิเสธ  การอ่านหนังสือ และอื่นๆ  ซึ่งหากมีโอกาสจะมาคุยให้ฟังค่ะ

เพื่อนที่สนใจ เรื่องการพัฒนาตนเอง  พัฒนาลูก  อยากมีชีวิตที่มีโอกาส เจริญก้าวหน้าในทุกๆด้านกว่า ที่เป็นอยู่ ลองมาทบทวนการใช้เวลา ของตัวเองกับลูกๆสักนิด  ลองปรับการใช้เวลา ให้เสียเวลาน้อยลง ครั้ง 10-20 %  ก็จะมีเวลาเหลือพอที่จะศึกษาโน่นนี่  หรือ ใช้เวลาที่มีคุณภาพมากกว่านี้ค่ะ



วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าจากร้านซาลาเปา

ร้านซาลาเปาร้านหนึ่ง กิจการดีมาก มีลูกค้าเข้าร้านตลอดทั้งวัน อยู่มาวันหนึ่งมีขอทานสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เนื้อตัวสกปรก มาที่ประตูร้าน ทำให้ลูกค้าหลายคนพากันอุดจมูกเดินหนี

ลูกจ้างของร้านก็เข้ามาต่อว่า และเอ่ยปากไล่ไปให้พ้นร้าน แต่ขอทานก็รีบอธิบาย "คุณครับ ผมไม่ได้มาขอทานหรอก แต่จะมาซื้อซาลาเปา" พร้อมกับเอาเหรียญเศษสตางค์ ออกมานับด้วยสองมือ...

ลูกจ้างรู้สึกรำคาญ ออกแรงปัด เหรียญทั้งหมด..ต ก พื้ น !!!
ขอทานตกใจ รีบก้มลงเก็บเหรียญบาทบนพื้น แต่หาอย่างไร ก็ขาดไป 1 บาท อยู่ดี

"เหรียญ 1 บาท นี่...คุณทำตกใช่ไหมครับ"

ขอทานเงยหน้ามอง ก็เห็นเถ้าแก่ของร้าน...เขาไม่กล้าแม้แต่จะรับเงินจากเถ้าแก่ และกำลังจะวิ่งหนีด้วยความลุกลี้ลุกลน แต่ก็ถูกเถ้าแก่เรียกให้หยุด พร้อมพูดว่า..."ยินดี ต้อนรับครับ คุณลูกค้า !!! ไม่ทราบว่าคุณต้องการ ซาลาเปาไส้อะไร"
ขอทานตะลึงงัน ผ่านไปสักพัก จึงตอบกลับไปว่า "ผมอยากได้ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก" "ครับ...กรุณารอสักครู่" แล้วหันไปคีบซาลาเปาไส้หมู ออกจากซึ้งมา และยื่นให้ขอทานอย่างนอบน้อม และหันไปถามลูกจ้างว่า...
"นี่คือวิธีต้อนรับลูกค้าของเธองั้นหรือ"
"แต่เค้าเป็นแค่ ขอทานคนหนึ่ง" ลูกจ้างอธิบาย
"ต่อให้เค้าเป็นขอทาน ก็เป็นลูกค้าของเรา เธอโดนไล่ออกแล้วล่ะ" เถ้าแก่กล่าว

จากนั้น...เรื่องที่ทำให้คนในร้าน ตกใจยิ่งกว่า ก็คือ...เถ้าแก่ให้ขอทานคนนี้ มาเป็นลูกจ้างในร้าน และเมื่อขอทานคนนี้ ชำระร่างกายจนสะอาด เผยให้เห็นหน้าตาที่หล่อเหลาผิดคาด อีกทั้งยังขยันขันแข็ง กลายเป็นผู้ช่วยของร้านได้อย่างดี...
ภายหลังมีคนถามเถ้าแก่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเถ้าแก่ดูออกได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้วขอทานคนนี้ เป็นทองชั้นดี เถ้าแก่ตอบกลับมาว่า...

"ที่จริงแล้วง่ายมาก เขาไม่ได้มาขอซาลาเปากิน แต่เขารวบรวมเงินอย่างอยากลำบาก มีเงินแล้วค่อยมาซื้อซาลาเปาของเรา แสดงให้เห็นว่า...

>>> เขาเป็นคนที่...เ ค า ร พ ตั ว เ อ ง <<<
.........................................................
การไม่เคารพผู้อื่น หมายถึงการไม่เคารพตัวเอง
และ มีเพียงคนที่เคารพตัวเองเท่านั้น
จึงจะเคารพ...ง า น ที่ ตั ว เ อ ง ทำ"

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ด้วยตนเอง



เพื่อนๆหลายๆคน มาหารือ หรือ บ่นกลุ้มใจเรื่องลูกอ่อนภาษาอังกฤษ หรือ ตัวเองอ่อนภาษาอังกฤษจะทำอย่างไรดี วันนี้ ดิฉันก็อปปี้ คำแนะนำดีๆมากฝาก จาก คุณจิตว่าง สงบเย็นค่ะ


โพสดีๆ กับการเรียนภาษาอังกฤษ
..............................................................................
คาถาสำเร็จที่ครูใช้เมื่อสมัยที่ครูเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง คือ

1. ต้องเรียนอังกฤษอย่างจริงจัง อย่างน้อย 6-8 ชม ทุกวัน ห้ามเว้นเลยสักวัน ยิ่งเรียนมากยิ่งเก่งไว ทำให้ได้ 365 วันเลย ฝึกฟังและอ่านเยอะๆ บ่อยๆ ซ้ำๆ เพื่อสร้างธนาคารคำศัพท์และประโยคเข้าไปในสมองให้มากๆ ก่อน

2. ทำความเข้าใจแกรมม่าพื้นฐานเพื่อช่วยในการฟังและการอ่านให้เข้าใจมากขึ้น ส่วนตัวครูเอง ครูมีหนังสือหลายเล่มมาก แต่อยากแนะนำ Essential Grammar in Use สีแดงส้ม เป็นเล่มเบสิค มีแปลไทยให้เสร็จแล้ว อ่านให้จบ และทำแบบฝึกหัดทุกบท เสร็จแล้วต่อด้วยอีกเล่ม ระดับสูงขึ้นมาหน่อย English Grammar in Use เล่มสีน้ำเงิน มีแปลไทย อ่านให้จบ และทำแบบฝึกหัดทุกบท ห้ามเว้นเลยซักบท ย้ำ...ห้ามเว้นซักบท

3. หาบทเรียนภาษาอังกฤษใน Youtube เลือกบทที่เราพอจะอ่าน/ฟังรู้เรื่อง ฝึกทุกวัน หรือจะเลือก อ่าน/ฟัง/copy จาก http://www.voanews.com/specialenglish อย่างน้อย 1 บท ทุกวัน

ถ้าอยากฝึกเขียน ก็ให้พิมพ์ตามหรือจับปากกามาเขียนตามที่เราได้ยิน คือ อ่าน 1 ประโยค แล้วก็พิมพ์หรือเขียนตามให้เสร็จ แล้วก็อ่านประโยคต่อไป พิมพ์ต่อไป

4. ถ้าสงสัย ไม่เข้าใจคำศัพท์อย่าปล่อยทิ้งไว้ ให้เปิดดิก นักเรียนเด็กๆ ครูแนะนำhttp://dict.longdo.com/ แต่โตๆ แล้ว ควรใช้http://www.ldoceonline.com/ ก็ดี ถ้าอยากให้เจ้าใจแน่นๆ ก็ใช้ทั้งสองที่

5. หาข้อสอบ Grammar พวก TOEFL, TOEIC, IELTS เก่าๆ มาทำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2-3 ชม.

ถ้าพวกเราทำตามเงื่อนไขพวกนี้ได้ พวกเราก็มีสิทธิ์เก่งได้




แถมด้วย File ของ Essentail Grammar in use ไป download กัน จะได้เอาไปสอนลูกและฝึกฝนตัวเอง เลิกบ่นได้แร่ะ ลงมือทำ จะได้เก่งๆ

http://mi.anihost.ru/Murphy/Essential%20Grammar%20in%20Use%20(second%20edition)%20by%20Hicks81_for_rutracker_org.pdf

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำอย่างไรดี...เมื่อลูกหายไป

เด็กหาย!!!

ข่าวหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันอยู่ใกล้ตัวเรามาก แต่มันแค่ยังไม่ใช่ข่าวของเราเอง ทุกครั้งที่ได้ยินข่าว เหมือนมันกระเพื่อมให้เราตื่นตระหนกเป็นพักๆ ตอนนี้น่าจะหมดเวลาที่จะมานั่งหวาดผวาแล้วล่ะ หยุดคิดว่าเราเป็นพ่อแม่ที่โชคดีกันเสียที ไม่แน่ข่าวต่อไปอาจเป็นข่าว "ลูกเรา" คนไทยบางคนอ่านปุ๊บ จะคิดว่าเราแช่ง แต่อย่างไรก็ช่างเถอะ คนเขียนบทความนี้โคตรจะหวังดีกับครอบครัวคุณเลย (ความจริงเค้าหาข้อมูลมาเพื่อป้องกันลูกเค้าเองแหละ เพราะเค้าอาจเป็นคนโชคร้ายก็ได้..นี่จริงจัง)

เตรียมความพร้อมให้ตัวเองมากที่สุดในกรณีที่ลูกของเราจะกลายเป็นเด็กที่หายไป?

1.ให้คุณพ่อคุณแม่เขียนคำอธิบายรูปพรรณสันฐานที่สมบูรณ์ที่สุดของลูกตัวเองไว้ ถ้าเปลี่ยนทรงผม สูงขึ้น อ้วนผอมขึ้นลงต้องมาอัพเดทใหม่ (เพราะถ้ามันเกิดขึ้น คุณจะตื่นตระหนก ขวัญหายที่สุด คุณอธิบายไม่ถูกหรอก)

2. ถ่ายภาพสีของบุตรหลานของคุณอัพเดทไว้ทุกๆ เดือน เอาแบบหน้าตรงๆชัดๆ (เคยเห็นใช่มั้ยเวลาที่ญาติมาตามหาคนหาย นำรูปที่ไม่ใช่รูปปัจจุบัน มันทำให้การติดตามยากลำบากเข้าไปใหญ่)

3. ถ้ามีหมอฟันที่ลูกของคุณทำอยู่เป็นประจำ ให้ทางคลินิกเตรียมความพร้อมและเก็บประวัติการรักษารวมถึงแผนภูมิทางทันตกรรมของลูกคุณไว้และให้แน่ใจว่าเขามีการปรับปรุงในแต่ละครั้งอย่างเป็นปัจจุบันทุกครั้งเพื่อสามารถใช้ในการตรวจสอบหรือใช้ประวัติทางด้านทันตกรรมมาอ้างอิงตัวบุคคล (อันนี้สำคัญมากๆ ไปคราวหน้า ไปขอสำเนาประวัติมาเก็บไว้บ้างก็ดีค่ะ)

4. เราน่าจะรณรงค์ให้กับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายในประเทศของเราเร่งให้เด็กไปทำบัตรประชาชนกันอย่างจริงจังได้แล้ว (อันนี้แหละประโยชน์ของบัตรประชาชนของเด็ก) เพราะเมื่อไปทำจะมีการพิมพ์ลายนิ้วมือของลูกเราไว้และมันจะถูกเก็บไว้ในทะเบียนประวัติที่เป็นฐานข้อมูลประชากรในที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย (บันทึกเลข 13 หลักลูกไว้ในมือถือเสียด้วย)

5.เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากลูกของคุณเช่น เส้นผม ฟันซี่ที่หลุดแล้ว เศษเล็บ แปรงสีฟันเก่า ใส่ไว้ในซองจดหมายสีน้ำตาลให้เรียบร้อยแล้วให้ลูกใช้น้ำลายเลียปิดผนึก เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ที่แห้งที่สามารถหยิบมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ อ้อเก็บให้ห่างจากความร้อนด้วยค่ะ

6. ช่วงนี้ ที่สำคัญสุดๆ คุณต้องบอกกับลูกแล้ว หัดให้ลูกท่องหัดเขียนที่อยู่บ้านเค้าให้ได้ อย่างไรเสีย ภาษาไม่เก่ง พูดและเขียนคำว่า Thailand ได้ก็ยังดี เผื่อพลัดไปไกลถึงต่างแดน เบอร์โทรพ่อแม่ (สำคัญนะ!!!)

7. สอนเรื่องความปลอดภัยให้ลูกมากๆ ถ้าโดนจับไป ต้องปลอดภัยกลับมา บอกลูกไว้ให้อดทน เอาตัวเองให้รอด อย่าร้องไห้ อย่าขัดขืน(เก็บชีวิตของลูกเอาไว้ รอกลับมาเจอแม่ ช้าหรือเร็วไม่เป็นไร ให้ลูกปลอดภัยที่สุด). ถ้าไม่ปลอดภัย อย่าหนี

8. บอกลูกให้มั่นใจว่า ถ้าลูกถูกใครพาไป ให้ลูกรู้ว่า พ่อกับแม่จะตามหา ให้พบโดยเร็วที่สุด และอย่าเชื่อใคร ถ้าเค้าจะใช้อุบายโกหกลูกว่าพ่อกับแม่ไม่รักลูก หรืออะไรก็ตามทำให้เค้าต้องเอาลูกไปเลี้ยง มันไม่มีวันเป็นเรื่องจริง

9. จดจำสถานที่ ที่ลูกอยู่ให้ดีๆ ดูป้ายตามซอยต่างๆ ว่ามีตัวอะไรบ้าง สอนลูกเรื่องการดูชื่อสาขาของธนาคาร อะไรก็ตามที่ง่ายที่สุดต่อการจดจำสำหรับเด็ก และย้ำเสมอ อย่าเชื่อใครถ้าเค้าบอกลูกว่า ถ้าลูกไปให้คนอื่นช่วยเหลือ หรือไปหาตำรวจ จะโดนตำรวจจับเพราะลูกทำความผิด(เพราะคนพวกนี้อาจให้ลูกคุณไปช่วยมันทำสิ่งเลวๆ เช่นส่งยาเสพติด ย้ำ!!!ลูกต้องทำที่สั่งเพราะเอาตัวรอด ลูกเป็นคนดีเสมอ และลูกจะปลอดภัย ถ้าแจ้งตำรวจให้พากลับมาบ้าน

ตื่นตูมกันบ้างก็ได้ เด็กหายทั่วโลก ไม่ได้หายเฉพาะในประเทศไทย AEC ที่กำลังจะเปิดปลายปี 58 ไม่ใช่จะมีแต่สิ่งดีๆ คนดีๆเข้ามาในบ้านเรา ถ้าติดตามข่าว พวกขบวนการต่างๆมันจะไหลเข้ามาบ้านเราด้วย เรื่องนี้ไม่ตลก ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่คำว่าสายเกินแก้

10 เรื่องที่ต้องตระหนัก เกี่ยวกับการลักพาตัวเด็ก-



-1- คนร้ายมักไม่ใช่กลุ่มแก๊งค์ ไม่ต้องไปกลัวรถตู้ กลัวคนที่พูดจาดีๆ หว่านล้อมเด็ก ชักชวนเด็ก ด้วย เงิน ขนม ของเล่น เกมส์ หรืออ้างว่าพ่อแม่ให้มารับ

-2- คนร้ายมักเลือกเด็กจากความเสน่หา ดังนั้น คนร้ายอาจเห็นเด็กหลายครั้ง ไม่ใช่เจอกันครั้งแรกแล้วลักพาตัวไปเลย

-3- คนร้ายอาจชวนเด็กหลายครั้ง กว่าเด็กจะยอมไว้วางใจและยอมตามไป ดังนั้น พ่อแม่ต้องหมั่นคุยกับลูกว่ามีคนแปลกหน้ามาชักชวนไปไหน มาให้เงิน ให้ขนมหรือไม่อย่างไร

-4- อายุเฉลี่ยของเด็กที่จะถูกลักพาตัว อยู่ที่อายุ 4 ขวบ มีโอกาสพอๆ กันทั้งเด็กหญิงและเด็กผู้ชาย เพราะเป็นวัยที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ชื่อพ่อแม่ ที่อยู่ เด็กยังจำไม่ค่อยได้

-5- สถานที่ปลอดภัยที่สุด คือ สถานที่ที่อันตรายที่สุดที่เด็กจะถูกลักพาตัว ในบ้าน หน้าบ้าน ในหมู่บ้าน วัดในชุมชน หน้าโรงเรียน ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ คือสถานที่ที่เด็กมักถูกลักพาตัว

-6- ไม่มีคนร้ายรายใด ใช้กำลังประทุษร้าย หรือฉุด กระชาก ลากถูเด็ก ดังนั้น คนร้ายจะหลอกล่อเด็กจนเดินตามไปดีๆ อย่างปกติ ไม่มีสิ่งผิดสังเกตุ ดังนั้น คนในชุมชน คนบ้านใกล้เรือนเคียง ต้องช่วยกันดูเวลาเห็นเด็กในชุมชนเดินกับคนแปลกหน้า

-7- พ่อแม่และสถานศึกษา ต้องสอนลูกหลาน อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้า อย่ารับขนม หรือเชื่อว่าคนร้ายจะพาไปซื้อ ขนม ของเล่น หรือพาไปเล่นเกมส์ อย่ารับเงินจากคนที่ไม่รู้จัก

-8- พ่อแม่และสถานศึกษา ต้องติดตั้งทักษะ การร้องขอความช่วยเหลือ เพราะเด็กที่ถูกลักพาตัว เกือบทั้งหมด ถูกพาไปโดยการเดิน นั่งรถโดยสารสาธารณะ นั่งรถไฟ ผ่านคนและแหล่งชุมชน แต่เด็กไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ

-9- เมื่อลูกน่าจะถูกลักพาตัว หรือหายไปแบบผิดปกติ สามารถไปแจ้งความได้ทันที ไม่ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง

-10- ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงาwww.facebook.com/thaimissing เบอร์ตรงถึงเจ้าหน้าที่ 0807752673


ขอบคุณข้อมูลจาก
ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
4 กรกฏาคม 2556

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลักการทำโทษเด็ก #

หลักการทำโทษเด็ก จากหนังสือ รักลูกให้ถูกทาง ของพระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) ในบท วิธิแก้นิสัยเกเร ผู้อ่านสามารถ download หนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มได้เลยครับ # หมอมินรักษ์โลก

หลักการทำโทษเด็ก 14 ข้อ


1. อย่าลงโทษเด็กในเมื่อความผิดนั้นไม่ได้ปรากฏต่อหน้า หรือไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นความผิดของเขา

2. อย่าทำโทษเด็กเพื่อประชดประชันอีกคนหนึ่ง เช่น โกรธพ่อทุบลูกเสียบอบช้ำไป อย่างนี้นับว่าไม่เป็นธรรมแก่เด็ก

3. อย่าผลัดเพี้ยนการทำโทษในเมื่อความผิดนั้นได้ปรากฏต่อหน้า หรือมีพยานหลักฐานแล้ว เช่น ผลัดว่า "รอให้พ่อกลับมาก่อนเถอะ จะให้พ่อเฆี่ยน"

4. อย่าเอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับโทษของเด็กมาเป็นการลงโทษเด็ก เช่น สัญญาว่าคืนนี้จะพาเด็กไปดูละคร พอเด็กกระทำผิดก็เลยงดการดูละครเสีย การงดไปดูละครเป็นการลงโทษเด็ก ซึ่งไม่เกี่ยวกันและไม่สมควรทำเช่นนั้น

5. อย่าเอาชนะเด็กภายหลังที่ทำโทษเด็กแล้ว จะทำให้เด็กคิดเห็นไปว่าการทำโทษเป็นการบรรเทาโทสะของตน หรือทำให้เด็กมองเห็นว่าท่านเป็นคนอ่อนแอ เด็กจะไม่เกรงกลัวในกาลต่อไป

6. อย่าลงโทษเด็กที่ได้รับโทษตามความผิดของเขาแล้ว เช่น เด็กซนไปล้มลงท่านก็โกรธไปตีซ้ำ พร้อมกับพูดหยาบสำทับเขา ย่อมเป็นการไม่เหมะสม เพราะการหกล้มสอนเขาให้รู้ว่าเจ็บปวดขนาดไหนอยู่แล้ว อย่าเพิ่มความปวดร้าวทางจิตใจเขาอีกเลย และหากว่าเด็กยังไม่เดียงสา ท่านก็ควรให้ความระมัดระวังแก่เขา

7. อย่าทำโทษเด็กด้วยลิ้นของตน การด่าว่าบ่นจู้จี้เด็กเป็นสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นการถ่ายทอดนิสัยให้เด็กเปล่าๆ คนปากจัดจึงควรระวังสักหน่อย

8. สิ่งใดที่ท่านบอกว่าผิด ก็ให้ถือว่าเป็นความผิดตลอดไป เช่น เด็กของท่านตบหน้าท่าน ท่านก็ตีเขาในฐานะที่ความประพฤติไม่ดี แต่ต่อมาเขาตบหน้าท่านอีก บังเอิญอารมณ์ของท่านดี ท่านหัวเราะเห็นเป็นของขันไป การกระทำของท่านทำให้เด็กงงงวย ไม่สามารถเข้าใจว่าเมื่อไรการกระทำเช่นนั้นถูกผิดอย่างไร

9. อย่าทำโทษให้ผิดกันระหว่างผู้มีสิทธิทำโทษเด็ก พ่อทำโทษเด็กอย่างใดในความผิดอย่างหนึ่ง แม่ก็ควรทำโทษแบบเดียวกัน

10. อย่าทำโทษโดยความลำเอียง เช่น พี่น้องทะเลาะกัน พี่ถูกทำโทษหนัก น้องถูกทำโทษสถานเบาเพราะเห็นว่าเล็กกว่า ทำให้พี่เกิดน้อยใจและริษยาน้อง เกิดความเคียดแค้น อาจที่จะทำร้ายน้องได้ในภายหลัง และขาดจากความเคารพในตัวท่านด้วย

11. อย่าทำโทษเด็กโดยอาการเปาะแปะและพร่ำเพรื่อ จงทำให้เป็นกิจจะลักษณะ

12. จงอย่าลงโทษเด็กโดยอาการไม่สมควร เช่น โกรธไม่พูดด้วยสามวัน

13. อย่าโต้แย้งในเรื่องการลงโทษเด็กต่อหน้าเด็ก ถ้าจะโต้แย้งกันต้องอย่าให้เด็กเห็น

14. อย่าแสดงอาการเหลาะแหละ ไม่กล้าเอาจริงเอาจัง ด้วยการแสดงเอะอะให้คนอื่นทำโทษเด็กให้ การทำโทษนั้นจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ และไม่ทำให้เด็กเชื่อถือยำเกรง

Credit picture: www.dek-d.com

ขอบคุณข้อมูลจากหมอมิน  ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทยค่ะ