วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ประวัติคีตกวีเอก

http://www.kubatpiano.com/beetovens.htm

บีโทเฟน


http://www.kubatpiano.com/mozart.htm

โมสาร์ท

http://www.veedakorn.com/Bach.html

บาค

http://www.mwk.ac.th/somsak/kovsky.htm
ไชคอฟสกี้

http://www.mwk.ac.th/somsak/chumann.htm
ชูมาน

http://www.mwk.ac.th/somsak/haydn.htm
Haydn

http://www.pantown.com/board.php?id=13220&name=board10&topic=14&action=view
Vivaldi

สิ่งที่ควรใคร่ครวญเรื่องการเรียนโฮมสคูล

เมื่อลองศึกษาและคิดดู ดิฉันมีความคิดว่า การศึกษาแบบโฮมสคูลนั้น ไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กทุกคน หรือ ทุกครอบครัว แต่เหมาะสมกับครอบครัวที่มีลูกเล็ก ก่อนวัย 6 ขวบ ในช่วงก่อนประถมนั้น การจัดการศึกษาของลูกนั้น เป็นเพียงการฝึกฝนทักษะต่างๆ ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และนิสัยต่างๆ เพราะเป็นช่วงที่ 5 Q นั้น จะเพาะพันธุ์ ฝังรากลงในจิตใจของลูกๆ แต่หากจะมาฝังตอนโต คือชั้นประถมนั้น จะยากแล้ว เพราะนิสัยเสียต่างๆ ฝังรากลึกพอควร และลึกมากขึ้นเรื่อยๆ หากจะถอนออก จะยิ่งเจ็บปวดทั้งลูกเองและพ่อแม่

(มีต่อในความเห็น)

ประมวลกิจกรรมศิลปะ

มาเอาใจเจ้าตัวเล็ก เอาลิงค์ กระทู้ในเวบที่แม่ๆพ่อๆ จะหา ไอเดียงานศิลปะ มาปรนเปรอหนูๆดีกว่า
เรื่องนี้ต้องขอบคุณหลายๆคน เลย โดยเฉพาะคุณมะเหมี่ยว แกมีแยะ

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เรื่องของดนตรีศึกษาของ Charotte Mason

ตามเรียกร้องของแม่ภุชงค์ค่ะ

(ไปดูในหน้าความเห็นนะคะ)

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

โฮมสคูลสำหรับเด็กอนุบาล

ต้องขอออกตัวว่าไม่ชำนาญเรื่องนี้ แต่ได้ค้นหาข้อมูลไว้ เพื่อเป็นการเตรียมตัวลูกสองคน แม้ลูกจะเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่ต่างประเทศ แต่ดิฉันมีความตั้งใจว่าจะสอนโฮมสคูลภาคภาษาไทยควบคู่ไปด้วย เผื่อเราย้ายมาเมืองไทย ลูกจะได้มีทางเลือก สามารถเรียนภาคปกติของโรงเรียนไทยได้ จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ในเวบรักลูก ซึ่งคุณอ๊อด แม่น้องปาล์ม ได้มีเมตตา ให้ข้อมูลที่ดีมากๆมาดังนี้

โฮมสคูลในเมืองไทยตอนนี้แบ่งได้ 3 ประเภทค่ะ
1.เด็กเข้าระบบตามปกติ แต่พ่อแม่มาเสริมให้ในวันหยุด หรือช่วงเย็น

2.เด็กทำโฮมสคูล โดยไปจดทะเบียนกับเขตการศึกษา เพื่อรอรับการประเมินผลช่วงชั้นต่าง ๆ แบบนี้ พ่อแม่ต้องจัดหลักสูตรให้อิงกับ 8 เนื้อหาสาระทางวิชาการที่กระทรวงกำหนด (ค่อยอธิบายรายละเอียดคราวหน้านะคะ) และมีการจัดทำ port folio ของเด็กเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาของศึกษานิเทศน์ด้วย
แบบนี้ กำลังมีปัญหาอยู่ในทุกวันนี้ค่ะ เพราะพ่อแม่ที่ไม่ให้ลูกเข้า รร ก็เพราะไม่อยากทำตามระบบที่รัฐวางไว้ เวลาประเมินก็อยากให้รัฐประเมินแบบองค์รวม คือดูพัฒนาการเด็กทุกด้านพร้อม ๆ กัน แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับต้องการให้พ่อแม่ประเมินโดยใช้เกณฑ์วัดผลเหมือนในโรงเรียน เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคำว่าโฮมสคูล ไม่เข้าใจแนวทางและวิธีการในการไม่นำเด็กเข้าระบบ

3.เด็กที่ไม่ขึ้นทะเบียนกับเขตการศึกษา (เหมือน ตปท)
แบบนี้ มีวิธีวัดผลการศึกษา 2 แบบค่ะ
3.1 นำเด็กไปเข้าชื่อไว้ที่ รร หมู่บ้านเด็ก ถึงเวลาก็ไปให้ครูแอ๋ว สอบ คือการนำเด็กไปเข้าค่ายให้ครูประเมินพัฒนาการ พฤติกรรม ปีละ 1 ครั้ง วิธีนี้จะได้วุฒิแค่ ประถมปลาย เพราะ รร เปิดสอนถึงแค่ ป.6 ค่ะ แล้วมาต่อที่ 3.2 จนจบ ม.ปลาย
3.2 พาเด็กไปสอบเทียบเอาวุฒิการศึกษากับ กศน เมื่ออายุครบ 16 ปี ตามข้อกำหนดของกระทรวง (เมื่อก่อน ไม่ได้กำหนดอายุขั้นต่ำของผู้เข้าสอบเทียบ) มี 3 ระดับชั้น คือ ป.6 ม.3 ม.6


เรื่องของเปียโนและโรงเรียนดนตรี

พอดีเจอกระทู้หนึ่ง มีข้อมูลที่น่าสนใจเรื่องการเรียนเปียโน และแหล่งซื้อ ของรวบรวมไว้ในกระทู้นี้ เพราะจะต้องใช้ในอนาคต เดี๋ยวหาไม่เจอ ขอบคุณ เพื่อนๆทั้งหลายในเวบ เช่น แม่พี่เป้งน้องปิ๊ง และเพื่อนๆที่เอ่ยนามไม่หมด ที่ร่วมกันถาม และให้ข้อมูล

(ดูรายละเอียดหน้าความเห็น)

โฮมสคูลสำหรับเด็กวัย 1.6 -3 ปี

เด็กในช่วงวัยนี้เป็นช่วงเดียวกับอายุปัจจุบันของแชงลูกคนโต ส่วนตอนที่แล้วเป็นวัยน้องเชียร์ลูกคนเล็กค่ะ ซึ่งถือว่า เป็นช่วง Early School Year เด็กในวัยเหล่านี้ โดยมากยังไม่เข้าโรงเรียน ดังนั้นการเตรียมความพร้อมทางร่างกาย ให้ช่วยตัวเองได้ในชีวิตประจำวันต้องทำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดการกับเรื่องอารมณ์ การสอนเรื่องมรรยาท การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และ ทักษะเรื่องการพูด การสื่อสาร การเข้าใจในความหมายของคำต่างๆ สิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันของมนุษย์ คืองานหลักของเรา

(อ่านต่อในหน้าความเห็นนะคะ)

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

โฮมสคูลสำหรับขวบปีแรก ถึง 1.6 ปี

มีเพื่อนๆที่เป็นพ่อแม่ลูกอ่อน มักจะมีคำถามว่า ในช่วงเด็กทารก จนถึงก่อนเข้าเตรียมอนุบาล เราจะสามารถสอนอะไรลูกได้บ้าง เดี๋ยวนี้โรงเรียนอนุบาลหลายๆแห่ง จะรับเด็กเตรียมอนุบาลตั้งแต่ 1.6 ปีขึ้นไป เพราะในวัยนั้น เด็กจะเริ่มเรียนรู้และฝึกฝนอะไรได้หลายๆอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะให้ลูกเข้าเรียนอนุบาลช้าหน่อย คือ 3 ปี หรือ 4 ปี ก็เป็นเรื่องที่ควรทำ หากทำได้ แต่ในระหว่างที่ลูกยังอยู่ที่บ้าน ต้องมีการเตรียมความพร้อมลูก และปลูกฝังความสนใจใคร่รู้ การรักศึกษาไปด้วย มิฉะนั้นเด็กๆจะทุกข์ทรมารมากเมือ่เข้าโรงเรียน ในบทความนี้จะพูดถึงเด็กทารกถึง 1.5 ปีก่อน เพื่อเป็นการปูพื้นฐาน พ่อแม่ที่มีลูกอ่อน โดยดิฉันจะใช้อ้างอิงจากหนังสือ และประสบการณ์ในการดูแลลูกสองคนเป็นหลัก

(ติดตามข้อมูลในความคิดเห็น)

ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของโฮมสคูล

ดิฉันลองมานั่งคิดดู จากการศึกษาเรื่องโฮมสคูล ในหลายๆแหล่ง จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นโฮมสคูลของระบบใด เช่น วอลดอร์ฟ มอนเตสเซอรี่ Project Approach หรือ วิถีพุทธ และอื่นๆ ถึงแม้จะใช้คำพูดไม่เหมือนกัน แต่ก็มีแนวคิดล้ายๆกัน คือการจัดกิจกรรม เพือกระตุ้นการเรียนรู้ให้เด็กในด้านต่างๆ ครบทุกด้าน 5 Q แม้กิจกรรมอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ก็มีส่วนคล้ายกัน ดูเผินๆ ปัจจัยความสำเร็จของโฮมสคูลคือ การจัดกิจกรรมให้เหมาะกับการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน

แต่ความจริงแล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการเรียนแบบโฮมสคูล ไม่ใช่กิจกรรม ไม่ใช่ตัวเด็ก แต่คือตัวของพ่อแม่เอง เด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ตามธรรมชาติ ไม่ต่างกัน ในช่วง 3 ขวบปีแรกนั้น เด็กเรียนรู้ตลอดเวลา เรียนรู้ทุกอย่าง เหมือนฟองนำ้ แม้ว่า ในวัยแบเบาะ จน หนึ่งขวบ ก่อนที่เขาจะพูดได้ หลายๆครั้ง สีหน้าและแววตาจะยังไม่ตอบสนอง ดูเลื่อนลอย ไม่มีปฎิกิริยา ไม่แสดงความสนใจ หลายๆครั้ง เขาคลานหนี หรือร้องไห้ไม่ยอม แต่แท้ที่จริง เขาเรียนรู้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลา เขาก็เผยออกมาเอง จนเราเองก็งง และอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

(ไปต่อที่ความเห็น)

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

การจัดตารางโฮมสกูล

ดิฉันได้ศึกษาข้อมูลโฮมสคูลมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เตรียมข้อมูลไว้ เผื่อสำหรับการศึกษาของลูกสองคน ซึ่งดิฉันไม่ค่อยชื่นชมในแนวการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบันเท่าไรนัก นี่เป็นความเห็นส่วนตัว ดิฉันและสามีอยากพาลูกออกนอนระบบเหมือนกัน เพราะมันไม่ตอบโจทย์ของชีวิต ส่วนการศึกษาในโรงเรียนอินเตอร์ในประเทศไทย ก็ราคาสูงมาก ประกอบกับมีข้อจำักัดเรื่องบุคลากรคุณภาพ การให้การศึกษาลูกด้วยตัวเอง จึงเป็นทางเลือกที่เราสามีภรรยา ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยความบังเอิญที่สามีได้รับมอบหมายตำแหน่งในต่างประเทศ น้องแชงและน้องเชียร์ จึงได้มีโอกาสศึกษาในโรงเรียนอินเตอร์ที่นี่ แต่ดิฉันเองก็ยังคงต้องส่งเสริมและเป็นจุดยืนในส่วนของการเรียนที่บ้าน ในภาควิชาภาษาไทย เพื่อให้ลูกสามารถกลับไปเรียน และปรับตัวกับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนได้ง่ายในอนาคต

ข้อมูลเรื่องการจัดเตรียมตารางโฮมสคูลที่มาแบ่งปัน นำมาจากข้อมูลในหนังสือ หลักสูตรและกิจกรรม สนุกกับโฮมสคูล สำหรับเด็กปฐมวัย และเด็กประถมต้น
ซึ่งดิฉันได้นำมาประยุกต์ใช้กับน้องแชงและน้องเชียร์ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ และ ช่วงปิดเทอม

คลังหนังสือ

ตั้งใจจะทำข้อมูล เขียนแนะนำหนังสือในดวงใจอยู่พอดี เพราะดิฉันเป็นคนที่เติบโตมากับหนังสืออย่างแท้จริง ชีวิตแม้จะเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง เพราะเอาเวลามาอ่านหนังสืออื่นๆ ที่ไม่ใช่หนังสือเรียน แต่ก็ได้ดีเพราะหนังสือเหล่านี้ ดิฉันจำได้ว่า ดิฉันอ่านหนังสือประมาณ สัปดาห์ละ 2-3 เล่มเพราะเป็นคนอ่านหนังสือเร็วมาก และหนังสือที่อ่านก็เป็นนวนิยายซะส่วนมาก แต่ก็อ่านหนังสือแนวจิตวิทยา หนังสือ คู่มือการชนะมิตร เป็นต้นมามากเหมือนกัน ประมาณช่วง 20 ปีหลัง คือในวัยทำงาน ก็จะอ่านแนวธรรมะ แนวธุรกิจ สุขภาพ มากขึ้น จนตอนนี้เป็นแนวการเลี้ยงเด็ก การศึกษาเด็ก เป็นหลัก

ข้อมูลความรู้ในการดำเนินชีวิต ในการสอนลูกสองคน และการใช้ชีวิตคู่ที่มีความสุขมากมายกับสามีที่น่ารัก ก็มาจากการอ่านเช่นกัน จึงอยากเขียนถึงหนังสือที่ทรงคุณค่า และมีคุณูปการในชีวิต หลายๆเล่ม เพื่อให้คนที่สนใจสามารถนำไปศึกษาได้ค่ะ

พอดีมีกระทู้ใหม่ ที่เพื่อนตั้งไว้ ในเวบรักลูก เป็นเรื่องหนังสือ จะไปเอาข้อมูลในนั้นมาใส่ก่อน แล้วจึงเติมทีหลัง ใครสนใจมาตามอ่านได้เรื่อยๆนะคะ

การล้างจมูกในเด็ก

มีแฟนคลับจำนวนหนึ่งที่มีลูกเล็กๆ เด็กๆมักเป็นหวัดกันเป็นประจำอยู่แล้ว จึงหาข้อมูลเรื่องการล้างจมูกในเด็กเล็ก มาเก็บไว้เพื่อให้สืบค้นง่ายค่ะ ข้อมูลเพิ่มเติมดูในช่องความเห็นนะคะ


โภชนาการเด็ก

เห็นคุณแม่หลายคนกังวลและไม่เข้าใจเรื่องโภชนาการเด็ก พอดีคุณหมอของน้องแชงที่เวียดนามนี้ส่งมาให้ค่ะ จึงอดสรุปมาฝากไม่ได้ ลองเอาไปศึกษาดูนะคะ


- ต้องมั่นใจว่าลูกๆทานอาหารได้ดีเต็มที่ อย่างน้อยวันละ 5 มื้อ และเพิ่มปริมาณอาหารในแต่ละมื้อด้วย
- ควรแนะนำให้ลูกๆทานอาหารหลากหลายให้มากที่สุด เพื่อให้เด็กๆได้รับสารอาหารครบถ้วนตามร่างกายต้องการ
- ควรพยายามให้ลูกดื่มนมวันละ 1-2 แก้วทุกวัน เป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่เด็กๆต้องได้รับในแต่ละวัน เพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่สำคัญครบถ้วน
- อาหารของเด็กๆในวัยนี้ ควรเป็นอาหารที่อ่อนนุ่มและให้พลังงานสูง
- อย่าให้เด็กๆรับประทานของจุกจิก หรือรับประทานตลอดเวลา เพื่อป้องกันฟันผุและการไม่มีวินัยในการกิน
- อย่าให้อาหารจานโปรดของเด็กในปริมาณมากๆ เพราะสารอาหารอาจจะไม่ครบในอาหารจานใดจานหนึ่ง ควรให้อาหารในปริมาณไม่มากในแต่ละคราว แต่ให้หลากหลาย

ประเภทของสารอาหาร และปริมาณแคลอรี่ที่ได้

- คาร์โบไฮเดรต คือ อาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล ขนมปัง ธัญพืช และพวกของหวานๆ ให้ปริมาณแคลอรี่ 4 แคลอรี่ต่อหนึ่งกรัม
- โปรตีน เช่น พวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา นม ไข่ ให้ปริมาณแคลอรี่ 4 แคลอรี่ต่อกรัม
- ไขมัน มีใน น้ำมัน และเนยต่างๆ ให้ปริมาณแคลอรี่ 9 แคลอรี่ต่อกรัม
- วิตามิน มีใน ผัก ผลไม้
- เกลือแร่ มีใน เนื้อสัตย์ ปลา นม ไข่ เป็นค้น
- เส้นใย มีมากในผลไม้ ผัก

ในอาหารของเด็กๆในแต่ละมื้อ ควรประกอบด้วยอาหารให้ครบ 6 หมู่ ในสัดส่วนของแคลอรี่ที่ให้พลังงานดังต่อไปนี้เพื่อให้มั่นใจว่าเด็กได้รับสารอาหารเพียงพอกับการเจริญเติบโต ทั้งทางด้านน้ำหนักและส่วนสูง รวมทั้งมีพัฒนาการที่ดี

50% ของพลังงานที่ได้รับควรมาจากสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
25% จากโปรตีน
25% จากไขมัน

หากในมื้ออาหารของเด็กๆมีความสมดุลดังที่กล่าวมาข้างต้น หมายความว่าเด็กคนนั้นได้รับสารอาหารและพลังงานที่เพียงพอแล้ว

พลังงานที่เด็กต้องการในแต่ละวัน

เด็กที่อายุต่ำกว่า 12 เดือน ต้องการพลังงาน 120-150 แคลอรี่ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน

เด็กที่อายุมากกว่า 1 ปี ต้องการพลังงาน 100-110 แคลอรี่ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน
เช่น เด็ก 6 เดือน นำหนัก 6 กิโลกรัม ต้องการพลังงาน 800-900 แคลอรี่ต่อวัน
เด็กอายุ 2 ปี นำหนัก 11 กิโลกรัม ต้องการพลังงาน 1,000 -1,200 แคลอรี่ต่อวัน


การตรวจสอบว่าเด็กมีพัฒนาการและการเจริญเติบโตดีหรือไม่

การตรวจง่ายๆที่ทำให้ครอบครัวและพ่อแม่สามารถดูได้ว่าลูกมีการเจริญเติบโตดีหรือไม่ จะช่วยให้ทราบปัญหาก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนยากแก่การแก้ไข


เด็กสุขภาพดี

- ดูดี ไม่อ้วน หรือผอม จนเกินไป
- มีการเจริญอาหารดี
- ดวงตาและผมแวววาว สดใส
- ผิวพรรณนุ่มเนียน เปล่งปลั่ง
- สูงและน้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์

เด็กที่มีปัญหาด้านการโภชนาการ

- ดูน้ำหนักไม่ขึ้น ไม่สูงขึ้น หรือขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- ไม่สนใจเด็กอื่น หรือ ไม่สนใจเล่น
- ดวงตาและผมไม่แวววาว สดใส
- ผิวพรรณไม่สดชื่น อาจจะมีการลอก แตก หรือดูซูบซีด ไม่สดใส
- ดูอ่อนแอ ผอมขี้โรค

สรุปมาจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก และ Chiclinic ประเทศเวียดนาม



การดูแลเมื่อลูกเป็นไข้

มีสรุปไว้ในหลายกระทู้ จะมารวมไว้ในนี้ เพื่อให้สะดวกแก่การค้นหานะคะ ตามไปดูในความเห็นได้เลย

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ประโยชน์ของของเล่น

จำได้ถึง กระทู้ในดวงใจ เรื่องของเล่น มีแม่ท่านหนึ่งเขียนไว้ดีมากๆ Nuubambam
http://board.raklukefamilygroup.com/viewtopic.php?t=138072&highlight=

จะขอนำมาแปะไว้ตรงนี้ด้วย เผื่อคนที่จะหาข้อมูล

คุณค่าของการเล่น ของนักเล่นมืออาชีพวัย 4.2 ขวบ ที่แม่อยากบอก

แม่จะบอกใครเสมอว่า ลูกแม่เป็นนักเล่นมืออาชีพ เพราะหนูของแม่จะเล่นแบบ non-stop ตื่นขึ้นมาก็เริ่มเล่น เล่นจนกว่าจะหมดแรง บางคนไม่ค่อยเชื่อ ชอบคิดว่าแม่ต้องแอบสอนน้องแบมแบมเรียนหนังสือแน่แน่เลย หรือไม่ต้องให้ลูกเรียนพิเศษตรงนั้นตรงนี้เพราะน้องแบมแบมจะค่อนข้างมีพัฒนาการเกินวัย รู้เยอะ แม่อยากบอกว่าก็ตอนที่หนูเล่นนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะสอนหนูเอง แม่ไม่ใช่ผู้กำกับ แต่เป็นแค่คนชี้ทางนิดหน่อยให้หนูได้หาทางพัฒนาศักยภาพในตัวเองอย่างเต็มที่

วันนี้และเกือบจะทุกทุกวันแม่ได้ยินเพื่อนเพื่อนข้างบ้านบ้าง เพื่อนแม่เองบ้างเวลาไปที่บ้านเค้า ดุลูกว่า เมาแต่เล่น เอาแต่เล่นอย่างเดียวไม่สนใจอะไรเลย ดูลูกบ้านนี้สิทำนี่ทำโน่นได้ เรียนหนังสือเก่ง ทำอะไรก็ได้ มามารีบมาเขียนหนังสือ แล้วก็จับลูกมาหัดคัดหัดเขียน จับให้นั่งอ่านหนังสือ ห้ามลูกออกมาข้างนอก

ใครใครมาที่บ้านเราหนแรกแรกก็ชอบตำหนิแม่ว่า ซื้อของเล่นมาให้ลูกทำไมเยอะแยะเปลืองเงิน และเป็นการฟุ่มเฟือย ทำให้ลูกสมาธิสั้น และอื่นอื่นอีกมากมาย แต่พอได้คุยกับลูก ได้เห็นพัฒนาการของน้องก็เปลี่ยนเป็นพูดแบบใหม่ ก็ซื้อของให้เยอะซะขนาดนี้ ถ้าพัฒนาการไม่ดีก็แย่แล้ว แม่ได้แต่ส่ายหน้า ด้วยความไม่เข้าใจไม่เข้าใจ

เวลาออกไปข้างนอก คนอื่นอื่นเห็นพัฒนาการของลูก ใครใครชอบถามแม่ว่า น้องอายุเท่าไหร่ค่ะ
ทำไมน้องพูดอังกฤษเก่งจัง ทำไมน้องอันนี้ อันนั้นได้แล้วค่ะ ทำไมน้องแบบนี้ได้ด้วยเหรอค่ะ ให้น้องเรียนที่ไหนค่ะ ให้น้องเรียนพิเศษอะไรที่ไหนบ้างค่ะ

แม่อยากบอกว่า แม่ก็รักลูกเหมือนแม่คนอื่นอื่น อยากให้ลูกเก่ง ดี มีความสุข แม่ก็อยากให้ลูกแม่เรียนรู้ให้มากที่สุด แต่การให้ลูกไปเรียนพิเศษที่นั่นที่นี่ไม่เคยอยู่ในความคิดของแม่ เพราะแม่คิดเสมอว่าแม่คือครูคนแรกที่ดีที่สุดสำหรับหนู เพราะฉะนั้นแม่ถึงต้องจัดเตรียมกิจกรรมต่างต่างเพื่อเล่นกับหนูของแม่

5 Q มีอะไรบ้าง

ขอยืมเอาข้อมูลที่เพื่อนในเวบรักลูก เอามาให้ ขอบคุณ คุณcarpe diem มาณ ที่นี่ด้วย


คำแนะนำในการอ่านบล็อก 5 Qkids

ขอบคุณที่มาเยี่ยมชมและอ่านข้อมูลค่ะ ท่านที่ต้องการอ่านข้อมูลของแต่ละหัวข้อ กรุณากดเข้าไปอ่านใน ความคิดเห็นของหัวข้อนั้นๆนะคะ หาก มีการเพิ่ม หรือ update ข้อมูล ในหัวข้อเดิม จะแสดงในหน้าความคิดเห็นค่ะ

ส่วนหัวข้อใหม่ จะเพื่มเมื่อมีเรื่องที่น่าสนใจนะคะ

หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆทุกท่าน

ประโยชน์ของการสอนเด็กท่องบทอาขยานและวิธีการสอนเด็ก

จะมาเขียนถึง วืธีสอนลูกเล็กๆท่องกลอน หรือ บทอาขยาน ให้ได้ประสิทธิผล เผื่อเพื่อนๆที่สนใจจะสอนลูก เพื่อเพิ่มศักยภาพความสามารถในการจดจำ

อัญเชิญพระดำรัสของ สมเด็จพระเทพฯ ข้างต้น

อ้างอิงจาก:
ถ้าให้ท่องจำในสิ่งที่เป็นความรู้หรือเป็นประโยชน์ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
โดยครูอธิบายความหมายให้เข้าใจเสียก่อนก็จะเป็นประโยชน์แก่เด็กเป็นอันมาก


ในหนังสือ "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว แนะนำว่า

อ้างอิงจาก:
กลอนที่เลือกให้ลูกท่อง ควรเป็นกลอนสั้นที่มีจังหวะและจำได้ง่าย และเนื้อหาควรจะพัฒนาจิตใจเด็ก เพราะเป็นสิ่งที่เด็กจะจดจำไว้ เป็นของสูงและมีความงามมีคุณค่าที่จะจดจำไปตลอดชีวิต และต้องเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเด็กด้วย


วิธีการท่องคือ
- พ่อแม่ หรือ ผู้สอนคุยถึงเรื่องราว ความหมายของบทกลอนนั้นๆ เพื่อสร้างความสนใจให้เด็ก
- ท่องทีละบท วันละบท และเมื่อเริ่มวันใหม่ ก็ท่องของเก่าแล้วต่อของใหม่
- ทำแบบนี้ ทุกวัน เด็กจะจำได้เป็นร้อยๆบท

เป็นการเพื่มศักยภาพและสมรรถภาพความจำของเด็กเล็ก แต่เมื่อเด็กโต ควรหลีกเลี่ยงวิธีสอนแบบท่องจำค่ะ เพราะเด็กเล็กๆโดยเฉพาะก่อน 3 ขวบ จะมีพลังสมองในการเรียนรู้สิ่งต่างๆมหาศาล มากกว่าสมองผู้ใหญ่ และหากเด็กจดจำอะไร ก็จะมีผลต่อนิสัยใจคอ เช่นความมุมานะอดทน ความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น อีกทั้งมีผลต่อการทำงานของสมองด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

กลอนสำหรับจำการใช้ตัวสะกดและฉันทลักษณ์

ขอแยกข้อมูลส่วนนี้ออกมาจากกลอนโบราณและบทอาขยาน เพื่อให้ค้นคว้าง่าย สำหรับผู้ที่จะนำไปใช้ศึกษาเรื่องตัวสะกด และรูปแบบฉันทลักษณ์ต่างๆ แต่ก็เป็นของโบราณเหมือนกันค่ะ

มรดกชาติ บทอาขยานและบทประพันธ์โบราณ

ข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลที่ภาคภูมิใจมากๆ ชิ้นหนึ่ง คือการตามหา ตามเก็บ บทกลอน และบทอาขยานของชาติ ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว มรดกที่ทรงคุณค่ายิ่งของภูมิปัญญาไทย ได้เขียนกระทู้ในห้องเรียนของลูก แต่ขอนำมาเก็บรักษาไว้ใน Blog ส่วนตัวด้วย

พระราชดำรัส
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

" ...ปัจจุบันไม่นิยมให้เด็กท่องจำเพราะคิดว่าเป็นการให้เด็กท่องจำอย่างนกแก้วนกขุนทอง
โดยไม่มีความหมายและเหตุผล แต่ในความเป็นจริง การอ่านออกเสียงและการท่องจำ
มีประโยชน์หลายประการ เช่น การอ่านออกเสียงดัง ๆ จะทำให้สามารถพูดและออกเสียง
ได้คล่องแคล่วชัดเจน การท่องจำเป็นการสับสมองอยู่เสมอทำให้มีความจำดี การเลือกสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ให้เด็กท่องจำจะเกิดประโยชน์กับเด็กมากกว่าการให้เด็กท่องจำ
ความไร้สาระจากบทโฆษณาต่าง ๆ เพราะธรรมชาติของเด็กจะช่างจดจำอยู่แล้ว ถ้าให้ท่องจำในสิ่งที่เป็นความรู้หรือเป็นประโยชน์ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
โดยครูอธิบายความหมายให้เข้าใจเสียก่อนก็จะเป็นประโยชน์แก่เด็กเป็นอันมาก
บทท่องจำทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองนั้น จะเป็นตัวอย่างให้เด็กนำไปใช้เพื่อการแต่งหนังสือ
ต่อไป เด็กที่ท่องบทร้อยกรองได้แล้ว ต่อไปสามารถแต่งบทร้อยกรองด้วยตนเองได้
เพราะคุ้นเคยและชินกับคำคล้องจอง นอกจากนี้เด็กจะได้สำนวนภาษาที่ดีจาก
บทท่องจำต่าง ๆ ด้วย ..."

ฺBaby Sign สำหรับพ่อแม่ลูกเบบี๋

คำถามแรก คือ เริ่มได้ตั้งแต่อายุ เท่าไหร่

สามารถเริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ แต่คนส่วนมากจะเริ่มตอนเด็กโตหน่อย โดยดูสัญญาณดังนี้

- เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป
- เริ่มใช้นิ้วในการ "ชี้" ของต่างๆ
- เรื่มหัดถือของ ของเล่น และนำมาให้คุณ แล้วรอดูว่า คุณจะทำอย่างไรต่อไป
- เริ่มใช้มือ บ๊ายบาย โบกมือลา
- เรื่มใช้วิธีการพยักหน้า เวลา ตกลง หรือยินยอม หรือใช้วิธีสั่นหัว ปฏิเสธ
- เริ่มสนใจรูปภาพต่างๆในหนังสือ
- เริ่มแสดงอาการหงุดหงิด ไม่พอใจ เวลาคุณ ไม่เข้าใจความต้องการของเขา
- เมื่อยังมีคำบางคำ ที่สำคัญ แต่ลูกไม่รู้จะสื่อกับคุณอย่างไร เช่น ร้อน หนาว อยากเปลี่ยนผ้าอ้อม เป็นต้น


ลองดูนะคะ ว่าลูกๆของเราที่เล็กๆ ยังพูดไม่เป็น มีสัญญาณเหล่านี้หรือยัง ถ้ามี ก็เริ่มได้ค่ะ อย่างที่บอก เราเรื่มได้ตั้งแต่แรกคลอดแล้วล่ะ แต่เขาจะยังไม่ตอบสนอง เพราะเห็นไม่ชัด และยังเล็กเกืนที่จะแสดงให้เราเห็นได้


เมื่อลูกแต่ละคนเก่งไม่เท่ากัน

ได้ตอบกระทู้หนึ่งด้วยความตั้งใจ เกีี่ยวกับพ่อแม่ที่มีลูกที่เก่งไม่เท่ากัน คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่น จึงขอนำมาเก็บที่นี่ด้วย

อยากแบ่งปันประสบการณ์จริงของตัวเอง เผื่อคุณแม่ๆจะได้เข้าใจความรู้สึกของลูกนะคะ แต่อยากบอกว่า เด็กแต่ละคนอาจจะไม่ได้คิดแบบดิฉันทุกคน พ่อแม่ต้องสังเกต

ตอนเล็กๆ ดิฉันและน้องสาว เรียนชั้นเดียวกันค่ะ เราไม่ใช่ลูกแฝด เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ดิฉันเป็นเด็กเรียนอ่อนกว่าน้อง น้องเรียนเก่งมาก ตอนอยู่อนุบาล คุณครูให้ดิฉันเรียนซำ้ชั้น ซึ่งเป็นปีเดียวกับน้องสาวเข้าโรงเรียนพอดี ทำให้เราเรียนชั้นเดียวกันมาตลอด ตั้งแต่นั้นมา

น้องสาวของดิฉันสอบได้ที่หนึ่งทุกปี ได้เปอร์เซ้นต์สูงมาก ส่วนดิฉันเรียนกลางๆ ได้ที่กลางๆ น้องได้รางวัลเยอะ จากญาติพี่น้อง แต่ดิฉันไม่เคยได้เลย ดิฉันก็ไม่เข้าใจนะคะ ตอนเล็กๆ แต่ก็อยากได้ของ รู้สึกน้อยใจ เสียใจ และคิดว่า ใครๆไม่รัก ทำให้เป็นเด็กมีปัญหา ดื้อ ไม่ตั้งใจเรียน และขี้หงุดหงิด ขี้โมโห เพราะำไม่มีความสุข เกลียดบ้าน เกลียดครอบครัว เกลียดญาติพี่น้อง เพราะมันอยู่ในจิตใต้สำนึกว่า แต่ละคนไม่ยุติธรรม เวลาไปบ้านญาติ หรือ เจอเพื่อนพ่อแม่ แต่ละคนก็ชื่นชมน้อง และถามว่า ทำไมเราสู้น้องไม่ได้ เจ็บปวดมากค่ะ กดดันมากๆ แต่โชคดีที่ดิฉันได้เรียนโรงเรียนดี คุณครูคอยให้กำลังใจ และมอบหมายให้รับหน้าที่สำคัญในชั้น เป็นหัวหน้าเวร หัวหน้าห้อง และช่วยงานโรงเรียน นำสวดมนต์ นำร้องเพลงชาติ มาตลอด แต่น้องไม่ได้รับเลือก

เมื่อย้ายโรงเรียนตอนมัธยม มีคุณครูจากโรงเรียนใหม่ท่านหนึ่ง มีเมตตา ท่านเรียกดิฉันมาคุย เพราะท่านก็เป็นอาจารย์ของน้องสาว และดิฉันเอง ท่านเห็นความแตกต่างของเราพี่น้อง และเห็นใจ ท่านบอกดิฉันว่า ท่านเข้าใจและเห็นใจในความรู้สึกที่ดิฉันรู้สึกด้อย แต่อยากชี้ให้เห็นว่า ดิฉันนั้น มีจุดเ่ด่นของตัวเอง ที่น้องไม่มี จุดเด่นและน่าภาคภูมิใจ น่าชื่นชมก็คือ ความมีนำ้ใจ ความกล้าหาญ ซึ่งหาคนเทียบยาก น้องของดิฉันมีจุดเด่น คือ ความมีปัญญาและความจำดี แต่ละคนจะประสบความสำเร็จในวิถีของตัวเอง ดิํฉันไม่ควรน้อยใจ หรือ รู้สึกด้อยค่า แต่กลับต้องภาคภูมิใจในความดีงามของตนอันนี้

ดิฉันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร มันเหมือนกับดอกไม้บานออกมา เราเห็นตัวเอง เราบอกกับตัวเองว่า นี่คือฉันหรือ ฉันเป็นคนดีกับเขาเหมือนกัน เป็นคนมีค่า จุดนี้เป็นจุดพลิกผันที่สำคัญของชีวิตค่ะ หาไม่มีคำชี้นี้ ของคุณครูท่านนี้ ชีวิตของไร้ทิศทาง เพราะมองตัวเองไร้ค่า ไม่มีความสามารถมากขึ้นทุกวัน ยิ่งน้องดี น้องเก่ง เราก็ยิ่งเลว

คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกแตกต่างกันแบบนี้ ต้องมองลูกตัวเองให้เจอว่า ลูกแต่ละคน ตัวตนของเขาคืออะไร เด็กแต่ละคนแม้เป็นฝาแฝด เขาก็เป็นปัจเจกบุคคล เขาแตกต่างกัน ไม่ต้องให้เขาทำอะไรเหมือนๆกัน ชอบอะไรเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกันก็ได้ ให้เขาแตกต่าง และยอมรับว่า เขาเป็นคนที่แตกต่างกัน ส่งเสริมและให้กำลังใจ ให้เขา ทำในสิ่งที่เขาถนัด และเป็นตัวเขาเถิด และบอกเขาค่ะ แม้เขาจะเด็ก ก็บอกให้เขารู้ว่า แต่ละคนมีจุดดี จุดเด่นอย่างไร ที่ไม่ต้องเหมือนกัน ให้เขาชื่นชมและภูมิใจในตัวเอง ที่แตกต่างกันเถืดนะคะ คุณเท่านั้น ที่จะช่วยให้กำลังใจลูกได้

ให้กำลังใจน้องเขาด้วยนะคะ
Cool

ตารางเรียนของเด็ก Pre-school

ตารางเรียนนี้ เป็นตารางเรียนของน้องแชงค่ะ ซึ่งปัจจุบันเรียน Pre-school อยู่ที่เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม เป็นโรงเรียนอืนเตอร์ สอนแนว Project Approach หลักสูตร สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สามารภใช้เป็นแนวทางในการทำโฮมสกูล สำหรับเด็กเล็ก 1.6 -2.5 ปีได้

ได้นำบันทึกไว้ในเวบบอร์ดของเวบ รักลูกค่ะ แต่มาเก็บรวบรวมในนี้อีกครั้ง เพื่อประโยชน์ของเพื่อนที่มาหาที่หลัง

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

แรงบันดาลใจในการสร้างเวบบล็อกนี้

ดิฉันได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในเวบบอร์ดของรักลูกพอสมควร เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว มีความรู้สึกผูกพันต่อเพื่อนในเวบ แม้จะไม่เคยพบหน้ากันก็ตาม ดิฉันสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงหาอาทรของเพื่อนๆส่วนมาก ที่มีต่อลูก ซึ่งส่วนมาก จะเป็นกลุ่มเพื่อนที่มีลูกเล็ก เพราะพ่อแม่มือใหม่นั้น มักวิตกกังวล และประสบการณ์น้อย จึงใช้เวบบอร์ด เป็นสื่อกลางในการขอความช่วยเหลือ และขอข้อมูลกันอยู่เสมอ

ตลอดเวลา่ที่อยู่ในเวบรักลูก ดิฉันเองก็ได้เขียนกระทู้หลายๆกระทู้ ที่เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ แก่ครอบครัวที่มีลูกเล็ก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ดิฉันเองก็ได้ค้นคว้า ศึกษา เพื่อนำมาปรับใช้ในการดูแลลูกทั้งสองคน คือ น้องแชง และน้องเชียร์ ดิฉันจึงได้นำข้อมูลเหล่านี้มาแบ่งปันสู่เพื่อนๆ เผื่อใครที่อยากนำข้อมูลเหล่านี้ ไปใช้ในการพัฒนา อบรม และสอนลูก ก็จะได้นำไปใช้เป็นแนวทางได้ โดยสะดวก

ดิฉันและสามีมีความเชื่อว่า สังคมในอนาคตนั้น คงเป็นสังคมที่ต่อสู้แข่งขัน และโหดร้ายมากขึ้นทุกที เพราะการแย่งชิงทางด้านทรัพยากรต่างๆที่นับวันจะขาดแคลน เช่น นำ้สะอาด อากาศดีๆ และทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ต่างละเลยเรื่องศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม ต่างๆ มุ่งเน้นเสาะแสวงหาผลประโยชน์ ลาภยศ ชื่อเสียง เท่านั้น การที่ลูกทั้งสอง จะอยู่รอดในสังคมในภายภาคหน้า ให้มีความสุข และเอาตัวรอด คงต้องมาจากการสร้างเด็กในวันนี้ ให้เป็นคนเ่ก่ง และเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม เหมือนลูกของเรา ดิฉันจึงยินดีที่จะเผยแพร่ วิธีการสร้างสติปัญญา รอยยิ้ม และปลูกฝังความรัก ความเอื้อเฟื้อ อดทน นี้สู่ทุกครอบครัว เท่าที่จะทำได้ เมื่อแต่ละครอบครัวนำไปปฏิบัติ มากบ้างน้อยบ้าง ก็แล้วแต่ แต่ก็เชื่อว่า ความรัก ความเอื้ออาทรของพ่อแม่ ที่มีต่อลูก จะฝังต้นกล้าลงในจิตใจที่อ่อนโยนของลูก และมีส่วนทำให้ลูก เติบโต เป็นเด็กที่สมบูรณ์ พร้อมทั้ง 5 Q และเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ลำ้ค่า ของสังคม ประเทศชาติ และของโลกต่อไปค่ะ

ในหลักความเชื่อของดิฉันเอง ในการจัดทำเวบบล็อกนี้ ดิฉันได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ และคนหลายๆคน ดังนี้

- หลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
- พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาท และ พระจริยวัตรของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ปัจจุบัน รัชกาลที่ 9
- พระดำรัส และพระจริยวัตรของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
- การอบรมสั่งของของคุณพ่อ คุณแม่ ของดิฉันและสามี ตลอดจน คณาจารย์ของเรา ตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน
- เพื่อนๆร่วมอุดมการณ์จาก เวบรักลูก เช่น พ่อธีร์ คุณUSARANU คุณแม่ภุชงค์ babyploy คุณตุ๊ก คุณJeruna คุณ Sek คุณ ดี &ดัง คุณ Kheat คุณมะเหมี่ยว และอีกหลายๆท่านที่กล่าวถึงไม่หมดเลย
- ความรู้และสิ่งที่ Break Through จากหลักสูตร ของ Landmark Education คือ Landmark Forum, Advanced Course, Communication Course, Advanced communication cost, Living in the Zone และ Relation
- หนังสือ รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว
- หนังสือ คุณคือคุณครูคนแรกของลูก
- หนังสือ รักลูกให้ถูกทาง
- หนังสือ ออกแบบลูกรักด้วยวิธีเลี้ยง
-หนังสือ Baby Sign
และอื่นๆที่จะกล่าวอ้างถึงต่อไป

ข้อมูลที่จะบันทึก หรือ เขียนต่อๆไป จะสามารถนำไปใช้ในการดูแล และสอนเด็กก่อนวัยเรียน เพื่อพัฒนาสมอง สติปัญญา รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ต่างๆลงในใจของลูกรักไปพร้อมๆกันค่ะ
ท่านที่เห็นด้วย หรือ เห็นต่าง ก็สามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้นะคะ เพื่อให้ข้อมูลนี้รอบด้าน และสมบูรณ์ขึ้น เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

ขอบคุณค่ะ